ทิศทางเศรษฐกิจไทยภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
โดย ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล |
| |
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2154 05 ต.ค. - 07 ต.ค.
2549
|
เขตการค้าเสรีอียู-อาเซียน บททดสอบความเป็นหนึ่งเดียว
ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
|
แทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความล้มเหลวในการพยายามสรุปผลการเจรจาตั้งเขตการค้าเสรีโลกรอบโดฮาขององค์การการค้าโลก
(ดับบลิวทีโอ)
เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งแรงกระเพื่อมไปยังทุกประเทศทั่วโลก
กระตุ้นให้หลายประเทศหันหน้าจับคู่เจรจากันเองอย่างกว้างขวาง
ทั้งแบบทวิภาคี ระดับประเทศต่อประเทศ
ไปจนถึงระดับภูมิภาคต่อภูมิภาค
เช่นเดียวกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หรืออาเซียน ที่ก้าวไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มดังกล่าว
ซึ่งที่ผ่านมาอาเซียนมีการเจรจาไปแล้วทั้งกับจีนและเกาหลีใต้
ส่วนที่กำลังเจรจากันอยู่ได้แก่ญี่ปุ่น อินเดีย และกลุ่มเซอร์ (ออสเตรเลีย
และนิวซีแลนด์) ส่วนที่กำลังจะมีตามมาในอนาคต คือ
การเปิดเจรจากับสหภาพยุโรป (อียู)
ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญอันดับหนึ่งที่ผลักดันการค้าบนเวทีโลก
โดยการเปิดเจรจาการค้าเสรีระหว่างอาเซียนกับอียูนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดคือ
เพิ่งเสร็จสิ้นการศึกษาความเป็นไปได้ในขั้นต้น
และทั้งสองฝ่ายมีแผนเปิดฉากการเจรจาให้ได้ในราวเดือนมีนาคม 2550
ดังนั้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการและอนาคตในการจัดเจรจาการค้าเสรีอียู-อาเซียน
ทางศูนย์ยุโรปศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จึงได้จัดงานอบรมสัมมนาทางวิชาการเรื่อง "เขตการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียน"
ขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
+ + ยึดกรอบอาเซียน-จีนเปิดโต๊ะคุยอียู
ในเรื่องท่าทีของอาเซียนต่อการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอียู-อาเซียน
นายสุภาค โปร่งธุระ เจ้าหน้าที่การทูต 7 กรมอาเซียน
กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า
เนื่องจากยังไม่มีการเปิดเจรจาการตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างทั้งสองฝ่าย
จึงยังไม่มีกรอบเจรจาออกมาเป็นทางการ
คงมีแต่การพิจารณาความเป็นไปได้จากรายงานจากกลุ่มศึกษาวิชั่น กรุ๊ป
ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่จัดทำออกมาในเดือนพ.ค. 2549
โดยระบุความสำคัญว่า 90%
ของการจัดเก็บภาษีการค้าควรดึงมาเข้ากระบวนการลดภาษีระหว่างกัน
เนื้อหาที่คาดเดาได้คือ
อียูน่าจะพิจารณาร่วมกับกรอบความร่วมมือด้านการค้าระหว่างอาเซียนกับอียู
(TREATI) ที่มีอยู่ผสมกับกรอบด้านสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม
สิทธิมนุษยชน มาตรฐานแรงงาน และที่สำคัญคือ
เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ส่วนอาเซียน
อาจเป็นไปได้ที่จะนำกรอบการเจรจาที่ทำไว้กับจีนมาประยุกต์คุยกับคู่เจรจา
ความท้าทายสำหรับอาเซียนคือ
อียูพร้อมกว่าทุกประเทศในอาเซียนในทุกด้าน ดังนั้น
อาเซียนต้องเตรียมตั้งรับโดยเสริมขีดความสามารถให้พร้อมสำหรับการเจรจา
เพราะอียูไม่ได้เจรจาเพียงแค่อาเซียน แต่เจรจาไปทั่วโลก
หากอาเซียนไม่ต้องการตกขอบก็ต้องเร่งพัฒนาตัวเองให้ทัน
+ + สร้างฉันทามติคือความท้าทายของอาเซียน
ขณะเดียวกัน
การจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างอียูและอาเซียนย่อมมีทั้งโอกาสและอุปสรรคที่เป็นความท้าทายในอนาคตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ซึ่งน.ส. เก็จพิรุณ เกาะสุวรรณ์ นักวิชาการพาณิชย์ 8 ว
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า
ด้านประโยชน์นั้นจะช่วยเสริมโอกาสให้อาเซียนเข้าถึงตลาดเดียวที่มีขนาดใหญ่
ซึ่งอยู่ภายใต้กฎ ข้อบังคับการค้ามาตรฐานเดียว
หากในอนาคตอาเซียนสามารถขยับฐานะจัดตั้งประชาคมอาเซียนเป็นตลาดเดียว
จะยิ่งเพิ่มประโยชน์ในการทำการค้าร่วมกันได้มาก
ทั้งยังเพิ่มโอกาสการแข่งขันทัดเทียมกับประเทศอื่น
ในแง่การรับสิทธิประโยชน์ทางการค้า
เมื่อเทียบกับคู่เจรจารายอื่นของอียู
และยกระดับอาเซียนให้เป็นศูนย์กลางการลงทุนแข่งกับจีน
หรือยุโรปตะวันออก
ไม่เพียงเท่านั้น
ผู้บริโภคยังจะได้รับสวัสดิภาพที่ดีกว่าเดิมด้านทางเลือกสินค้าและบริการ
ที่จะมีมากขึ้น ขณะที่ราคาถูกลง
ส่วนภาครัฐแม้รายได้จากการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมสินค้าจะลดลงภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี
แต่ราคาที่ลดลงย่อมช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในตลาดให้สูงขึ้นทดแทนกัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคที่สำคัญคือ การสร้างฉันทามติ
ที่เป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ
เพราะที่ผ่านมาแต่ละชาติใช้วิธีประนีประนอมหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
ทำให้ได้ข้อสรุปร่วมกันยาก สร้างความยุ่งยากในการค้าขาย
ดังเห็นจากการที่อาเซียนไม่สามารถคุยกับประเทศคู่ค้าแบบภูมิภาคได้
ต้องแยกคุยรายประเทศเนื่องจากไม่สามารถหาจุดร่วมในการลงลึกในรายละเอียด
ดังจะเห็นได้จากกรณีการเจรจากับจีนและญี่ปุ่น
นอกจากนี้อาเซียนแต่ละประเทศยังมีประเด็นสินค้าอ่อนไหว
โดยแต่ละชาติต่างมีประโยชน์ในสินค้าต่างชนิดกัน
และมีประโยชน์ในบริการต่างชนิดกัน
จึงควรหารือเพื่อจัดทำรายการสินค้ากลางที่ลดภาษีได้เหมือนกันหมด
ยังเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่า
ในอาเซียนมีการผลิตสินค้าเหมือนๆกัน เช่น สินค้าเกษตรจำพวกผัก
ผลไม้ แต่ศักยภาพการผลิตอาจไม่เท่ากัน หากตั้งเขตการค้าเสรี
อาจต้องแข่งขันกันเองทั้งเพื่อแย่งตลาดและการลงทุน ดังนั้น
อาจจะถึงเวลาแล้วที่อาเซียนและแม้กระทั่งประเทศไทย
ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกอาเซียนต้องตระหนักว่าจะวางตัวเองอย่างไรบนเวทีโลก
หาจุดเด่นที่ตนสามารถทำได้ดีที่สุดและมุ่งไปในทางนั้นเพื่อสร้างจุดขายที่แข็งแกร่งแทนที่จะต้องมาแข่งกันเองในทุกๆตลาด
|
|
อ่านข่าวทั้งหมด: |
|