ทิศทางเศรษฐกิจไทยภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
โดย ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล |
| |
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ 08 พ.ย.
2549 |
การค้าสินค้าเกษตร |
|
วันนี้ ผมจะมาคุยกับพวกเราเรื่องการค้าสินค้าเกษตร
ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีความสามารถในการผลิตและส่งออก
และเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของระบบเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอดนะครับ
การค้าสินค้าเกษตรเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับทุกประเทศรัฐบาลของแต่ละประเทศมักจะปกป้องภาคเกษตรหรือให้การอุดหนุนเกษตรกรของตน
ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือความบิดเบือนทางการค้าสินค้า ทำให้ราคาและ/หรือปริมาณการผลิตสูงหรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
เช่นการอุดหนุนภายในประเทศส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศแพงขึ้น
กระตุ้นให้การผลิตในประเทศเพิ่มมากขึ้น
ส่วนที่เหลือจากการบริโภคมักจะระบายสู่ตลาดโลกในราคาที่ต่ำเกินจริง
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ไม่เป็นธรรมกับประเทศผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา
การเจรจาการค้ารอบอุรุกวัย (ปี 2529-2537)
เป็นครั้งแรกที่สมาชิก GATT
เจรจาเรื่องการค้าสินค้าเกษตรเป็นการเฉพาะในระดับพหุภาคี ส่งผลเป็น
"ความตกลงเกษตร" อันเป็นส่วนหนึ่งของความตกลง WTO
มีวัตถุประสงค์ที่จะปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรของโลกให้เสรีและเป็นธรรมมากขึ้นในระยะยาว
โดยระบุพันธกรณี/กฎเกณฑ์การค้าสินค้าเกษตร
และกำหนดให้สมาชิกมีข้อผูกพันในประเด็นสำคัญ 3 ประการ
ได้แก่เรื่องการเปิดตลาด (การลดอากรและเปลี่ยนโควตาให้เป็นอากร/โควตาภาษี)
การลดการอุดหนุนเพื่อการส่งออกทุกรูปแบบ
และการลดการสนับสนุนภายในประเทศที่มีผลบิดเบือนการค้า
ทั้งนี้ประเทศพัฒนาแล้วผูกพันลดอากรและการอุดหนุนในอัตราที่สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา
และประเทศพัฒนาน้อยที่สุดยังไม่จำเป็นต้องผูกพันก็ได้
การเจรจาการค้ารอบโดฮาของ WTO
เรื่องการค้าสินค้าเกษตรได้สานต่อความพยายามที่จะปฏิรูปการค้าเกษตรของโลก
โดยมีเป้าหมายมุ่งให้สมาชิกผูกพันการเปิดเสรีเพิ่มมากขึ้นในทั้งสามประเด็นข้างต้น
ทั้งนี้ ให้การประติบัติที่พิเศษและแตกต่างต่อประเทศกำลังพัฒนา
(S&D) และคำนึงถึงข้อห่วงกังวลที่ไม่เกี่ยวกับการค้าด้วย
แต่ล่าสุดสมาชิกได้ระงับการเจรจารอบโดฮาไปอย่างไม่มีกำหนด
เพราะสมาชิก 149
ประเทศยังมีท่าทีแตกต่างกันมากเรื่องการค้าสินค้าเกษตรจนไม่สามารถตกลงกันได้แม้แต่ในเรื่องกรอบ/รูปแบบการเปิดเสรีหรือ
"modalities" (พูดง่ายๆ คือจะลดอากร/การอุดหนุนมาก-น้อยแค่ไหน
อย่างไร และเมื่อไร) ทั้งนี้
ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ต้องการให้สหภาพยุโรปเปิดตลาดมากขึ้น
และต้องการให้สหรัฐฯ ลดการสนับสนุนภายในมากขึ้น
ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วก็อ้างว่าจะยอมได้ก็ต่อเมื่อประเทศกำลังพัฒนาต้องเปิดตลาดสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยสหรัฐฯ อ้างผลการศึกษาของ World Bank
ที่ว่าผลประโยชน์จากการเปิดเสรีมากกว่าร้อยละ 90
จะมาจากการเปิดตลาด
ผมประเมินสถานการณ์ คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าสมาชิก WTO
จะตกลงกันได้และมีผลในทางปฏิบัติ
ซึ่งอาจทำให้ประเทศอย่างไทยที่มีความสามารถในการแข่งขันพลาดโอกาสที่จะขยายตลาดเกษตร
ไม่ว่าจะเป็นตลาดประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศกำลังพัฒนาก็ตาม
FTA
จึงเป็นทางเลือกเชิงรุกประการหนึ่งที่ไทยสามารถแสวงประโยชน์ได้ก่อน
ผลักดันให้ประเทศคู่เจรจาเปิดตลาดสินค้าส่งออกของไทยให้เร็วกว่าหรือมากกว่าที่ผูกพันหรือจะผูกพันภายใต้
WTO โดยการลดหรือขจัดอากรนำเข้าให้เหลือร้อยละ 0
รวมทั้งหาทางขจัดอุปสรรคหรือมาตรการการค้าที่ไม่ใช่ภาษีอย่างได้ผลมากขึ้น
ผมเห็นว่าเวลา 3-5
ปีที่ไทยจะได้สิทธิประโยชน์ทางการค้าก่อนหรือมากกว่าคนอื่นภายใต้
FTA น่าจะเป็นโอกาสที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาประเทศได้
แต่เป็นที่เข้าใจว่าไทยจะได้ประโยชน์จาก FTA แต่ละฉบับมาก-น้อยแค่ไหนต้องดูภาพรวมทั้งฉบับด้วยนะครับ
ส่วนเรื่องการสนับสนุนภายในประเทศและการอุดหนุนเพื่อการส่งออก
ไทยก็คงต้องผลักดันต่อไปในระดับพหุภาคี
เพราะประเทศพัฒนาแล้วจะลดการอุดหนุนได้คงต่อรอง/ตกลงผลประโยชน์กันเองก่อนระหว่างขาใหญ่ต่างๆ
ใน WTO และคงยากที่จะมีผลในทางปฏิบัติในระดับทวิภาคีนะครับ
วันนี้ ผมจะมาคุยกับพวกเราเรื่องการค้าสินค้าเกษตร
ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีความสามารถในการผลิตและส่งออก
และเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของระบบเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอดนะครับ
การค้าสินค้าเกษตรเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับทุกประเทศรัฐบาลของแต่ละประเทศมักจะปกป้องภาคเกษตรหรือให้การอุดหนุนเกษตรกรของตน
ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือความบิดเบือนทางการค้าสินค้า ทำให้ราคาและ/หรือปริมาณการผลิตสูงหรือต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
เช่นการอุดหนุนภายในประเทศส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศแพงขึ้น
กระตุ้นให้การผลิตในประเทศเพิ่มมากขึ้น
ส่วนที่เหลือจากการบริโภคมักจะระบายสู่ตลาดโลกในราคาที่ต่ำเกินจริง
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ไม่เป็นธรรมกับประเทศผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา
การเจรจาการค้ารอบอุรุกวัย (ปี 2529-2537)
เป็นครั้งแรกที่สมาชิก GATT
เจรจาเรื่องการค้าสินค้าเกษตรเป็นการเฉพาะในระดับพหุภาคี ส่งผลเป็น
"ความตกลงเกษตร" อันเป็นส่วนหนึ่งของความตกลง WTO
มีวัตถุประสงค์ที่จะปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรของโลกให้เสรีและเป็นธรรมมากขึ้นในระยะยาว
โดยระบุพันธกรณี/กฎเกณฑ์การค้าสินค้าเกษตร
และกำหนดให้สมาชิกมีข้อผูกพันในประเด็นสำคัญ 3 ประการ
ได้แก่เรื่องการเปิดตลาด
(การลดอากรและเปลี่ยนโควตาให้เป็นอากร/โควตาภาษี)
การลดการอุดหนุนเพื่อการส่งออกทุกรูปแบบ
และการลดการสนับสนุนภายในประเทศที่มีผลบิดเบือนการค้า
ทั้งนี้ประเทศพัฒนาแล้วผูกพันลดอากรและการอุดหนุนในอัตราที่สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา
และประเทศพัฒนาน้อยที่สุดยังไม่จำเป็นต้องผูกพันก็ได้
การเจรจาการค้ารอบโดฮาของ WTO
เรื่องการค้าสินค้าเกษตรได้สานต่อความพยายามที่จะปฏิรูปการค้าเกษตรของโลก
โดยมีเป้าหมายมุ่งให้สมาชิกผูกพันการเปิดเสรีเพิ่มมากขึ้นในทั้งสามประเด็นข้างต้น
ทั้งนี้ ให้การประติบัติที่พิเศษและแตกต่างต่อประเทศกำลังพัฒนา
(S&D) และคำนึงถึงข้อห่วงกังวลที่ไม่เกี่ยวกับการค้าด้วย
แต่ล่าสุดสมาชิกได้ระงับการเจรจารอบโดฮาไปอย่างไม่มีกำหนด
เพราะสมาชิก 149
ประเทศยังมีท่าทีแตกต่างกันมากเรื่องการค้าสินค้าเกษตรจนไม่สามารถตกลงกันได้แม้แต่ในเรื่องกรอบ/รูปแบบการเปิดเสรีหรือ
"modalities" (พูดง่ายๆ คือจะลดอากร/การอุดหนุนมาก-น้อยแค่ไหน
อย่างไร และเมื่อไร) ทั้งนี้
ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ต้องการให้สหภาพยุโรปเปิดตลาดมากขึ้น
และต้องการให้สหรัฐฯ ลดการสนับสนุนภายในมากขึ้น
ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วก็อ้างว่าจะยอมได้ก็ต่อเมื่อประเทศกำลังพัฒนาต้องเปิดตลาดสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมมากขึ้นด้วยเช่นกัน
โดยสหรัฐฯ อ้างผลการศึกษาของ World Bank
ที่ว่าผลประโยชน์จากการเปิดเสรีมากกว่าร้อยละ 90
จะมาจากการเปิดตลาด
ผมประเมินสถานการณ์ คาดว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าสมาชิก WTO
จะตกลงกันได้และมีผลในทางปฏิบัติ
ซึ่งอาจทำให้ประเทศอย่างไทยที่มีความสามารถในการแข่งขันพลาดโอกาสที่จะขยายตลาดเกษตร
ไม่ว่าจะเป็นตลาดประเทศพัฒนาแล้วหรือประเทศกำลังพัฒนาก็ตาม
FTA
จึงเป็นทางเลือกเชิงรุกประการหนึ่งที่ไทยสามารถแสวงประโยชน์ได้ก่อน
ผลักดันให้ประเทศคู่เจรจาเปิดตลาดสินค้าส่งออกของไทยให้เร็วกว่าหรือมากกว่าที่ผูกพันหรือจะผูกพันภายใต้
WTO โดยการลดหรือขจัดอากรนำเข้าให้เหลือร้อยละ 0
รวมทั้งหาทางขจัดอุปสรรคหรือมาตรการการค้าที่ไม่ใช่ภาษีอย่างได้ผลมากขึ้น
ผมเห็นว่าเวลา 3-5
ปีที่ไทยจะได้สิทธิประโยชน์ทางการค้าก่อนหรือมากกว่าคนอื่นภายใต้
FTA น่าจะเป็นโอกาสที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาประเทศได้
แต่เป็นที่เข้าใจว่าไทยจะได้ประโยชน์จาก FTA แต่ละฉบับมาก-น้อยแค่ไหนต้องดูภาพรวมทั้งฉบับด้วยนะครับ
ส่วนเรื่องการสนับสนุนภายในประเทศและการอุดหนุนเพื่อการส่งออก
ไทยก็คงต้องผลักดันต่อไปในระดับพหุภาคี
เพราะประเทศพัฒนาแล้วจะลดการอุดหนุนได้คงต่อรอง/ตกลงผลประโยชน์กันเองก่อนระหว่างขาใหญ่ต่างๆ
ใน WTO และคงยากที่จะมีผลในทางปฏิบัติในระดับทวิภาคีนะครับ
|
|
อ่านข่าวทั้งหมด: |
|