ทิศทางเศรษฐกิจไทยภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
โดย ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล |
| |
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ 06 พ.ย.
2549 |
เศรษฐกิจปี50ไปโลด +ธปท.-คลัง-สภาพัฒน์ประสานเสียง
คาดจีดีพีโต 5%/'อุ๋ย'ดัน
เอกชนเป็นพระเอกกระตุ้นศก. |
|
ดัชนีความเชื่อมันไทยฟื้นต่างประเทศ-เอกชนไทย
ปรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยหลังปฏิรูปการเมือง ฟันธงปี
2550 ไปโลด "อุ๋ย-โฆสิต"
ดันภาคเอกชนเป็นเฟืองจักรหลักกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะที่สัญญาณภาคส่งออกปีหน้ามีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง
ลุ้นหลังแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัตินักธุรกิจเตรียมปรับแผนการลงทุน
ขณะที่แบงก์ชาติ-คลัง-สภาพัฒน์ฯประสานเสียงปรับขึ้นประมาณการจีดีพีโตถึง
5 %
หลังการปฏิรูปการเมืองภายใต้การเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์
จุลานนท์ ซึ่งได้แถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติไปแล้ว
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2549
ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลจะชูเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางหลักในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจ
แต่จากการประมวลตัวเลขประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย
(จีดีพี) ปี 2550 น่าจะขยายตัวได้ที่ 5.00 %
ด้วยองค์ประกอบ 4-5 ปัจจัยหลัก คือ 1.
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ดีขึ้น 2.
แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง 3.
ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลง 4.
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลง และ 5.
งบประมาณปี 2550 ที่นำมาใช้ได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
โดยจัดงบประมาณขาดดุล 1 แสนล้านบาท
****แบงก์ชาติ –คลัง –สภาพัฒน์ฯมองศก.ดีขึ้น
เมื่อเร็วๆนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปี 2550
จากประมาณการเดิม 4.00-5.30 % เป็น 4.50-5.50 %
ดร.ธาริษา วัฒนเกส รักษาการผู้ว่าการธปท. ปาฐกถาพิเศษ "มองเศรษฐกิจไทยปี
2550" เมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า ในปี 2550
คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในระดับ 4.50-5.50 %
ซึ่งเป็นแรงส่งต่อเนื่องให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงปี
2550 อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อทั้งเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ประมาณการเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้น
ยังมีประเด็นความเสี่ยงที่ธปท.ให้ความสำคัญและติดตามใกล้ชิดใน
3 ด้าน คือ ราคาน้ำมันโลก
ความชัดเจนของการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ
และการปรับตัวของความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทย
"ประเด็นสำคัญที่เป็นหัวใจของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะต่อไป
อยู่ที่การขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน
ซึ่งขึ้นกับความชัดเจนของโครงการลงทุนพื้นฐานขนาดใหญ่ภาครัฐ
รวมทั้งขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและต่างชาติ
โดยในช่วงที่ผ่านมา ภาคเอนไทยเริ่มมีความเชื่อมั่นดีขึ้น
เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ"
สอดรับกับม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ที่กล่าวในการสัมมนา "กลยุทธ์บริษัทจดทะเบียนยุครัฐบาลปรับเปลี่ยน"ในวันเดียวกันว่า
การบริหารงานด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้จะยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งนักลงทุนภายในประเทศมีความเข้าใจแล้ว
แต่ยังคงต้องชี้แจงให้นักลงทุนต่างประเทศเข้าใจให้มากขึ้นด้วย
และยืนยันว่าการทำงานของรัฐบาลชุดนี้จะไม่มีการเข้าไปแทรกแซงหรือออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะด้านอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่ควรทำคือ
การดูแลให้มีการฟื้นฟูทรัพยากรเพียงพอกับอัตราการใช้
และอัตราการเติบโตของประเทศที่ต้องการ เช่น
ถ้าจะให้จีดีพีโตถึง 8% ทุกปี มันไม่ทันกัน เอาแค่ 5%
ถ้าทำได้ก็โอเค
"ระบบเศรษฐกิจเสรีต้องเป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้ภาคเอกชนมีบทบาทนำ
ไม่มีประโยชน์ที่รัฐบาลจะมีบทบาทนำ" รองนายกฯและรมว.คลังกล่าว
ขณะที่ดร.อำพน กิตติอำพน
เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
กล่าวให้ความเห็นถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2550
ว่ามีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยเสี่ยง โดยปัจจัยบวก คือ
ราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ
อัตราดอกเบี้ยและความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ผ่อนคลายลง
ซึ่งจะมีผลให้การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนขับเคลื่อนไปได้
แต่ก็ยังไม่สามารถวางใจได้เพราะมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลก
โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ชะลอตัวลงในไตรมาสที่
3 และจะมีผลกระทบต่อภาคการส่งออก
รวมทั้งค่าเงินบาทและเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น สศช.จึงยังยืนประมาณการจีดีพีในปี
2550 ไว้ที่ 4.00-5.00 %ตามเดิมไว้ก่อน
เลขาฯสศช. กล่าวว่า
หลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติซึ่งมีความชัดเจนว่ารัฐบาลจะจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนอย่างไร
โดยเฉพาะการดูแลเศรษฐกิจรากแก้วซึ่งเป็นเศรษฐกิจพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ
เอสเอ็มอี และการดูแลภาคสังคม
ก็น่าจะทำให้ความเชื่อมั่นและภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2550
ดีขึ้นหากปัจจัยภายนอกเช่น เศรษฐกิจสหรัฐ ฯ
และราคาน้ำมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้
"หากมองเศรษฐกิจในปีหน้า
จะเห็นว่าปัจจัยลบที่เคยมีในปีนี้คลายตัวดีขึ้น
แต่ก็ไม่แน่ใจปัจจัยภายนอก สศช. จึงยังคงประมาณการไว้ที่
4.00-5.00 %"
****ต่างชาติปรับมุมมองต่อศก.ไทย
จากที่ "ฐานเศรษฐกิจ"
ประมวลข้อมูลการทบทวนการจัดอันดับเครดิตของประเทศไทยในมุมมองของต่างประเทศนั้น
บริษัท Standard & Poor’s หรือ S&P’s
ได้ยกเลิกมุมมองระดับเครดิตของประเทศที่มีการเฝ้าระวังระดับเครดิตที่เป็นลบออก
(CreditWatch with Negative Implications)
โดยมีแนวโน้มระดับเครดิตที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
โดยระบุถึงการยืนยันระดับเครดิตของประเทศไทยในครั้งนี้
แสดงถึงมุมมองของ S&P’s
ที่ยังเห็นว่าสถานะของเครดิตไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง
แม้ว่าจะผ่านการรัฐประหารก็ตาม
นอกจากนี้
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทยยังคงมีความแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับประเทศที่ได้รับการจัดอันดับในระดับเดียวกัน
โดยจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้นถึงระยะปานกลาง
S&P’s คาดว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยใน 3
ปีข้างหน้าจะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
เฉลี่ยที่ประมาณร้อยละ 5 ต่อปี
โดยคาดหมายว่าประเทศไทยจะสามารถกลับคืนเข้าสู่ระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพได้ภายในปี
2550
รวมถึงการที่สามารถจัดให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมาบริหารประเทศได้
ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
และเป็นเงื่อนไขที่สำคัญต่อการลงทุนของภาคเอกชนและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
S&P’s อาจปรับมุมมองของระดับเครดิตที่เป็นบวก
หากรัฐบาลชุดใหม่สามารถดำเนินมาตรการที่ส่งเสริมการปรับโครงสร้างเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ในทางตรงกันข้าม
หากมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในระหว่าง
หรือภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น
ก็อาจส่งผลกระทบต่อระดับเครดิตของไทยได้เช่นกัน
****เอกชนคาดจีดีพีปี50ดีกว่าปี49
ก่อนหน้านี้ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
ได้ปรับประมาณการจีดีพีปี 2550 จาก 3.50-4.50 % เป็น
4.00-5.00 % บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) ปรับจาก
4.00 % เป็น 4.40 % ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
เตรียมปรับประมาณการจีดีพีจากที่ประมาณการไว้ที่ 3.00-4.00
% ซึ่งคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.00-5.00 %
นายประสาร ไตรรัตน์ วรกุล กรรมการผู้จัดการ
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า
คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากปี
2549 โดยน่าจะเติบโตได้ที่ 4-4.5 %
จากปัจจัยราคาน้ำมันที่ชะลอตัวลงทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก
ส่งผลดีต่อการอุปโภคบริโภคในประเทศ
นอกจากนี้ในส่วนของภาครัฐยังมีความชัดเจนขึ้นในเรื่องของการเบิกจ่ายงบประมาณ
ซึ่งจะช่วยชดเชยภาคการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงอยู่ที่
12-15 %
"สิ่งที่ต้องระวัง คือ
ปัจจัยทางการเมืองซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงทุนระยะยาว
โดยเฉพาะหลังหนึ่งปีไปแล้ว จุดอ่อนไหวทั้งกติกาทางการเมือง
ปัจจัยภายใต้ที่มีลักษณะว่าจะปะทุขึ้นได้ " ดร.ประสารกล่าว
นายสันติ วิลาสศักดานนท์
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ให้ความเห็นว่า
ขณะนี้ทางส.อ.ท.
อยู่ระหว่างพิจารณาตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไร
ซึ่งคาดว่าจะเติบโตอยู่ที่ 4.00-4.50 %
เนื่องจากจะมีงบประมาณจากภาครัฐออกมาใช้สอย
และในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าโครงการเมกะโปรเจ็กต์จะสามารถเดินหน้าได้
ซึ่งไม่เหมือนกับปีนี้ที่เศรษฐกิจตก
เพราะไม่มีรัฐบาลเข้ามาบริหารงาน
แต่ประเด็นที่ยังเป็นห่วงคือค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก
ซึ่งขณะนี้สมาชิกของส.อ.ท.มีเสียงสะท้อนออกกันมามากว่าอยากให้รัฐบาลเข้าไปดูแล
และอีกปัญหาหนึ่งคือผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม
ที่ส่งผลให้พืชผักมีราคาสูงขึ้นทำให้กระทบต่อผู้บริโภค
รวมถึงอุตสาหกรรมต่างๆ ทีได้รับผลกระทบด้วย
นายเมตตา บันเทิงสุข
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) กล่าวว่า
สำหรับปัจจัยราคาน้ำมันที่จะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจนั้น
มองว่าหลังจากนี้ไปจนถึงปีหน้าราคาน้ำมันจะเริ่มทรงตัว
เนื่องจากยังมองไม่เห็นปัจจัยใดที่จะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นได้ในเวลานี้
ซึ่งจะส่งดีที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ อย่างไรก็ตาม
สถานการณ์น้ำมันเป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้อยาก
เพราะหากมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมา
ก็จะส่งผลต่อราคาน้ำมันทันที
ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย
ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าศูนย์พยากรณ์ฯได้คาดการณ์เศรษฐกิจปีหน้ามีโอกาสขยายตัว
4.7% จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัว 4.5%
ปัจจัยบวกที่จะทำให้เศรษฐกิจโต คือ
ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มใกล้เคียงปี 2549 โดยทรงตัวที่ระดับ
58-63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศอยู่ที่
24-27 บาท/ลิตร
ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตที่สูงแต่ผู้บริโภคปรับตัวรับมือไหว
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงประมาณ
0.5-0.75 ทำให้ดอกเบี้ยในประเทศมีโอกาสลดลง 0.25-0.50%
นอกจากนี้การกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ
การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน นักท่องเที่ยว
จะเป็นปัจจัยดันเศรษฐกิจปีหน้าให้เติบโต
"เศรษฐกิจปีหน้าจะเติบโตจากการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก
ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุนและการท่องเที่ยว
ส่วนด้านการส่งออกยังคงมีการเติบโต
แต่เป็นการเติบโตในอัตราที่ลดลง
เนื่องจากฐานตัวเลขส่งออกสูง โดยคาดว่าจะขยายตัว 10%
มูลค่า 141,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปี 2549
ที่ขยายตัว 15.8% มูลค่า 128,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อย่างไรก็ดีหากเฉลี่ยมูลค่าส่งออกต่อเดือนปี 2550
จะอยู่ที่เดือนละ 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปี 2549
เฉลี่ยเดือนละ 10,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ปริมาณการส่งออกต่อเดือนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสร้างงานเพิ่มรายได้ให้กับคนในประเทศ
"การส่งออกยังเติบโตแต่จะไม่ใช่พระเอกของจีดีพีเหมือนปีที่ผ่านมา"
ดร.ธนวรรธน์กล่าว
****ดอกเบี้ยลดช่วยการลงทุน-บริโภค
ปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2550
ที่มีผลดีตั้งแต่ระดับประชาชนจนถึงเศรษฐกิจมหภาค คือ
แนวโน้มการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ย
ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลและความเห็นของนักวิชาการและนักการเงินส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกันว่าในปี
2550 นั้น
คณะกรรมการนโยบายการเงินมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
(อาร์/พี 14 วัน) ลงประมาณ 0.50%-1 %
โดยจะมีผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ปรับลดตามไปด้วย
ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว
จะมีผลถึงการขยายตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ
มีความเห็นจากนายธนาคารที่สอดรับกับประเด็นดังกล่าว
โดยนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า "อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่สูงขึ้นพอสมควรแล้ว
คาดว่าจะเริ่มลดลงภายในต้นปี 2550 แต่คงไม่ลดลงเร็วมากนัก
ทำให้สถาบันการเงินมีโอกาสใช้กลไกดังกล่าวในการดำเนินธุรกิจ
"
เช่นเดียวกับนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่ให้ความเห็นว่า "ปีหน้าจะเริ่มเห็นเฟดเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณตั้งแต่ต้นปีถึงกลางปี
โดยเชื่อว่าดอกเบี้ยจะลดลงประมาณ 1 %
หลังจากนั้นเมื่อเศรษฐกิจกระเตื้อง
อัตราดอกเบี้ยก็จะปรับเพิ่มขึ้นประมาณกลางปี 2552 "
สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ของดีบีเอสกรุ๊ปที่เชื่อว่ากนง.จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในปี
2550 โดยภายในกลางปี 2550
อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยืนอยู่ที่ระดับ 4.50 %
จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ระดับ 5.00%
|
|
|
อ่านข่าวทั้งหมด: |
|