ทิศทางเศรษฐกิจไทยภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
โดย ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล |
| |
|
แปซิฟิคออกข้าวโพดพันธุ์ใหม่
ไฮบริกซ์3-9หวังชดเชยน้ำท่วม |
|
|
.
แปซิฟิคเมล็ดพันธุ์โอด
ถูกภัยพิบัติน้ำท่วมทำลายทั้งตัวเกษตรกรผู้ปลูก
กับแหล่งปลูกเมล็ดพันธุ์ของบริษัท ส่งผลยอดขายของบริษัทใน
กลุ่มพืชไร่หายไปถึงร้อยละ 50 ปีหน้าเอาใหม่เตรียมเปิดตัว
เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวาน/ข้าวโพด เลี้ยงสัตว์
เพื่อกระตุ้นยอดขายชดเชยกับส่วนที่ เสียไป
นายพาโชค
พงษ์พานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท แปซิฟิคเมล็ดพันธุ์ จำกัด เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ"
ว่า
ปัญหาน้ำท่วมได้สร้างความเสียหายต่อพื้นที่ทางการเกษตรเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะพื้นที่ในจังหวัดนครสวรรค์-สระบุรี-ลพบุรี-เพชรบูรณ์
ซึ่งเป็นแหล่งปลูกทานตะวันและข้าวฟ่างที่สำคัญของประเทศ
ส่งผลให้เกษตรกรเสียโอกาสที่จะปลูกทานตะวันและข้าวฟ่างหลังฤดูเก็บเกี่ยว
และกระทบไปถึงโอกาสทางการตลาดจากากรทำรายได้จากการขายเมล็ดพันธุ์ในกลุ่มพืชไร่ถึงร้อยละ
50
นอกจากนี้
ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ยังได้ส่งผลกระทบต่อแปลงปลูกเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวาน-ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
และข้าวโพดฝักอ่อน ของบริษัทด้วย ส่งผลให้บริษัทมีผลผลิตเมล็ดพันธุ์ "ต่ำกว่า"
เป้าหมายที่วางไว้ในช่วงต้นปีถึงร้อยละ 30-40
ดังนั้นบริษัทจึงได้ปรับแผนการปลูกเมล็ดพันธุ์ใหม่
ด้วยการเร่งขยายการปลูกชดเชยในช่วงฤดูแล้งปีหน้าแทน
"ปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบทำให้บริษัทมีต้นทุนการผลิตเมล็ดพันธุ์เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ
20-30 แต่จะกระทบจนถึงขั้นที่ว่า
บริษัทจะปรับราคาจำหน่ายเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น
คงจะต้องพิจารณาจากสัดส่วนความคุ้มทุนของเกษตรกร
และภาวะการแข่งขันของตลาดเมล็ดพันธุ์ในปีหน้าด้วย" นายพาโชคกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทแปซิฟิคเมล็ดพันธุ์
ในปัจจุบันปรากฏ บริษัทมีส่วนแบ่งในตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวาน
ประมาณร้อยละ 55 และคาดว่า ในปีหน้าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 60
โดยบริษัทวางแผนจะเปิดตัวเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานอีก 3 พันธุ์คือ "ไฮบริกซ์
3 ไฮบริกซ์ 9 และไฮบริกซ์ 49"
เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและตลาดผักสด
จากปัจจุบันตลาดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานมีอัตราเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าปีละ
20-30%
เนื่องจากเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับใช้แปรรูปเป็นข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องส่งออกไปขายในตลาดโลก
ซึ่งมีอัตราเติบโตเพิ่มสูงทุกปี
คาดว่าในปีนี้จะมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดหวานทั่วประเทศประมาณ 500,000-600,000
ไร่ และในอนาคต กลุ่มผู้ส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋อง
ได้วางเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่การปลูกเพิ่มขึ้นเป็น 800,000 ไร่
แต่มีข้อจำกัดในการขยายพื้นที่ปลูกแห่งใหม่ ดังนั้นในปี 2550
จึงวางแผนเพิ่มปริมาณผลผลิตให้เพิ่มสูงขึ้น
ด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวโพดหวานในนาข้าวช่วงแล้งแทน
ส่วนเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
จะมีส่วนแบ่งตลาดประมาณร้อยละ 9 ของมูลค่าตลาดรวม
โดยพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากในช่วง
2-3 ปีที่ผ่านมามีเกษตรกรบางส่วนหันไปปลูกมันสำปะหลัง-อ้อย เพิ่มขึ้น
เนื่องจากมีราคาผลผลิตที่จูงใจจากกระแสพลังงานทดแทน ทั้งเอทานอล/ไบโอดีเซล
ส่งผลให้ปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ลดลงไปด้วย
ทำให้ตลาดค้าเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในปี 2550
บริษัทวางเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดจำหน่าย
เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น
โดยมุ่งเปิดตลาดส่งออกไปยังประเทศปากีสถาน, บังกลาเทศ, อินโดนีเซีย,
เวียดนาม, อินเดีย และประเทศแถบอเมริกาใต้ คาดว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้า
ธุรกิจเมล็ดพันธุ์ของบริษัทจะสามารถขยายตัวในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 1
เท่าตัว
นายพาโชคกล่าวว่า
เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์
โดยแต่ละปีมีความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศสูงถึง
4.7
ล้านตันและมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นตามอัตราเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์
ดังนั้นในปีนี้บริษัทจึงได้เปิดตัวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใหม่จำนวน 2
พันธุ์ใหม่ คือ แปซิฟิค 999 กับ แปซิฟิค 224
โดยชนิดแรกมีลักษณะเด่นคือ
ฝักขนาดใหญ่ การติดเมล็ดเต็มถึงปลายฝัก เมล็ดสีส้มเข้ม
ให้ผลผลิตสูงและสามารถต้านทานโรคราสนิมได้ดี มีความชื้นประมาณไม่เกิน 35%
ส่วนพันธุ์แปซิฟิค 224 ลักษณะเด่นคือ ฝักใหญ่ ทนแล้ง ให้ผลผลิตสูง
และเมล็ดสีส้มเข้ม ให้ผลผลิตได้สูงกว่า 2,000 กิโลกรัม/ไร่
โดยบริษัทจะมุ่งจำหน่ายและจัดกิจกรรมถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกและปฏิบัติดูแลรักษาข้าวโพดให้แก่
เกษตรกร ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในพื้นที่ภาคกลาง เหนือ
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ที่ผ่านมา
บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาและวิจัยปรับปรุงเมล็ดพันธุ์อย่างต่อเนื่อง
โดยมุ่งผลิตเมล็ดพันธุ์ให้มีคุณภาพสูง
เพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมเป็นเป้าหมายสำคัญ
แต่กลับประสบปัญหาถูก "ขโมย" เมล็ดพันธุ์/ต้นพ่อแม่พันธุ์พืช
โดยเมล็ดพันธุ์ที่ถูกขโมยจะถูกนำไปขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร
และจำหน่ายในชื่อการค้าใหม่
คาดว่าในแต่ละปีมีบริษัทผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์จำนวนมากที่ประสบปัญหาถูกขโมยเมล็ดพันธุ์
คิดเป็นมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่าปีละ 1,000 ล้านบาท
หน้า 10
|
|
|
|
ที่มา
:ประชาชาติ
วันที่
20
พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
. |
|
|