สรุปผลเอฟทีเอ
4 ประเทศ เกษตรกรไทยโดนผลไม้จากจีนทะลัก ตีตลาดน่วม
ขณะที่นมและผลิตนมไทยเตรียมนับถอยหลังสูญพันธุ์
แหล่งข่าวในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า นายธีระ สูตะบุตร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ
รวบรวมรายละเอียดการเปิดเขตการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ กับ
4
ประเทศคือ จีน อินเดีย นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย
ถึงผลได้และผลเสียของเกษตรกรและประเทศไทยจากการทำเอฟทีเอดังกล่าว
ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าประเภทผักและผลไม้ของไทยไปจีนยังคงเพิ่มขึ้นจาก
7,188 ล้านบาทก่อนเปิดเอฟทีเอ (ตุลาคม 2545-กันยายน
2546) เป็น 1.8
หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน (ตุลาคม 2548-กันยายน
2549) หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 58%
โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญได้แก่ มันสำปะหลัง ลำไยสดและแห้ง
ทุเรียนและมังคุด
อย่างไรก็ตาม พบว่ามูลค่านำเข้าผักและผลไม้จากจีนเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
หรือจาก
1,954 ล้านบาทในรอบปีก่อนจะเปิดเอฟทีเอ เป็น 5,767
ล้านบาทในปีนี้ หรือเพิ่มเฉลี่ยปีละ 72%
โดยสินค้านำเข้าที่สำคัญได้แก่ แครอท และเทอร์นิป
เห็ดต่างๆ กระเทียม แอปเปิล และสาลี่
ส่วนผลการเปิดเอฟทีเอไทยกับออสเตรเลียนั้น หลังจากข้อตกลงมีผลบังคับใช้
1
ปี พบว่าไทยได้เปรียบดุลการค้าลดลงจาก 3,806
ล้านบาทในปี 2547 เป็น
2,503 ล้านบาทในปี 2548
โดยสินค้าอ่อนไหวของไทยได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์นม เนื้อสัตว์
ที่ผ่านมามีการนำเข้าต่ำกว่าที่ผูกพันในเอฟทีเอ
แต่นมและผลิตภัณฑ์นมมีราคาสูงขึ้นมาก ทำให้มูลค่านำเข้าของไทยสูงขึ้นด้วย
ขณะที่เอฟทีเอไทย-นิวซีแลนด์
ไทยขาดดุลการค้ากับนิวซีแลนด์ในด้านสินค้าเกษตรและอาหารมาตั้งแต่ก่อนเปิด
เอฟทีเอ โดยมูลค่าการค้าสูงขึ้นจาก
8,324
ล้านบาทในรอบปีก่อนการจัดทำเอฟทีเอ (กรกฎาคม 2547-มิถุนายน
2548) เป็น 9,578
ล้านบาทในปีถัดมา ทำให้ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 20%
โดยสินค้านำเข้าจากนิวซีแลนด์ที่สำคัญได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์นม
อาหารปรุงแต่งสำหรับทารก และเนื้อสัตว์
ด้านเอฟทีเอไทย-อินเดีย มูลค่าการส่งออก-นำเข้าสินค้าเกษตรภายใต้เอฟทีเอ
ยังอยู่ในระดับต่ำ (ประมาณ
10
ล้านบาทเศษ) และไทยยังได้ดุลการค้า
|