ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแผนส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล
(อีโคคาร์) ด้วยการกำหนดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ดังกล่าวในอัตราเพียงร้อยละ
17 โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาที่รถอีโคคาร์มีการผลิตออกสู่ตลาด
ทั้งนี้ได้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านคุณสมบัติของรถยนต์ประหยัดพลังงาน
ไว้ดังนี้
1) มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน
1,300 ลูกบาศก์เซนติเมตร สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน หรือ
มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร
สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
2)
มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 5 ลิตร/100 กิโลเมตร
หรือ 20 กิโลเมตรต่อลิตร
3)
มีมาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับยูโร
ซึ่งรวมทั้งมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากท่อไอเสียต้องไม่เกิน
120 กรัม/กิโลเมตร มีมาตรฐานความปลอดภัยในด้านการชนตามข้อกำหนดของของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งองค์การสหประชาชาติสำหรับภาคพื้นยุโรป
หรือ UNECE (United Nations Economic Commission for Europe)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าการอนุมัติแผนส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล(อีโคคาร์)ด้วยการให้สิ่งจูงใจด้านภาษีสรรพสามิตในอัตราเพียงร้อยละ17 เทียบกับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งทั่วไปที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างร้อยละ
30-50 บนเงื่อนไขการกำหนดสเปกของรถอีโคคาร์ดังกล่าว
จึงเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศสร้างเซกเมนท์
(Segment) รถยนต์ประเภทใหม่ในตลาดอย่างชัดเจน เพราะปัจจุบันอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยแทบไม่มีการผลิตรถยนต์นั่งที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า
1,400 ซีซี. หรือได้มาตรฐานการปล่อยมลพิษตลอดจน มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงครบถ้วนตามสเปกของอีโคคาร์เลย อย่างไรก็ตามตลาดรถยนต์ในประเทศจะตอบรับรถยนต์เซกเมนท์ใหม่นี้มากน้อยเพียงใดนั้น
ขึ้นกับปัจจัยหลักๆ อาทิ
1. ปัจจัยด้านราคารถยนต์ : จากการที่รถอีโคคาร์ถูกกำหนดให้เสียภาษีสรรพสามิตรถยนต์ในอัตราเพียงร้อยละ17
เปรียบเทียบกับอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งขนาดเล็กทั่วไปที่ปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ
30 และรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ชนิด E 20 ที่จะเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราร้อยละ
25 นั้น
จะมีผลทำให้ต้นทุนและราคาจำหน่ายรถยนต์อีโคคาร์อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำโดยเปรียบเทียบ อันเป็นการสนับสนุนให้บริษัทรถยนต์ต่างๆสนใจที่จะผลิตรถยนต์อีโคคาร์ อีกทั้งเป็นการจูงใจให้ผู้บริโภคหันมานิยมรถยนต์ประเภทนี้ คาดว่าราคารถอีโคคาร์น่าจะอยู่ที่ประมาณคันละ
4 แสนบาท ซึ่งน่าจะทำให้อีโคคาร์สามารถสร้างเซกเมนท์ของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
2. ปัจจัยด้านราคาน้ำมัน
: จากแนวโน้มระยะยาวที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกและภายในประเทศจะยังคงมีความผันผวนและอยู่ในระดับสูง
จะส่งผลให้ผู้บริโภคหันมานิยมใช้รถยนต์ที่มีคุณสมบัติในการประหยัดน้ำมันกันมากขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้รถยนต์อีโคคาร์สามารถแจ้งเกิดในตลาดรถยนต์เมืองไทยได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
เห็นว่าการมีรถอีโคคาร์เป็นเซกเมนท์ใหม่ในตลาดรถยนต์ของไทย น่าจะส่งผลดีในด้านต่างๆ
ดังนี้
ผลดีต่อผู้บริโภค
การกำเนิดรถอีโคคาร์ในตลาดรถยนต์ไทยจะทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นจากการที่ภาครัฐได้กำหนดเงื่อนไขคุณภาพมาตรฐานไว้สำหรับรถอีโคคาร์ในระดับที่สูงมาก จะทำให้ผู้บริโภคทุกระดับมีโอกาสใช้ยานยนต์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งการประหยัดเชื้อเพลิง การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสูง แต่มีราคาที่ประหยัด
ผลดีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วน
การกำเนิดรถอีโคคาร์จะทำให้มีการขยายกำลังการผลิตรถยนต์ในไทยเพิ่มมากขึ้นทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ผลดีต่อสังคมและส่วนรวม
การที่รัฐกำหนดเงื่อนไขมาตรฐานระดับสูงไว้สำหรับรถอีโคคาร์เป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐในการประหยัดพลังงาน
การควบคุมมลพิษและดูแลสิ่งแวดล้อม
อันจะเป็นประโยชน์ต่อต่อสังคมและสวัสดิภาพของประชาชนส่วนรวม
อย่างไรก็ตาม
ในอีกด้านหนึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ก็เห็นว่าการมีรถอีโคคาร์เป็นเซกเมนท์ใหม่ในตลาดรถยนต์ไทย อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความนิยมในรถอีโคคาร์ส่งผลกระตุ้นให้ผู้ที่ยังไม่มีรถยนต์เป็นของตนเอง
หันมาซื้อรถยนต์ส่วนตัวที่มีราคาถูกลงกันมากขึ้นๆ
รวมทั้งจูงใจให้ผู้บริโภคที่มีรถยนต์อยู่แล้ว
ซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้นในลักษณะเป็นรถยนต์คันที่ 2 ซึ่งก็อาจจะไม่ช่วยให้มีการประหยัดพลังงานได้เท่าที่คาดหวังไว้ดังนั้น รัฐจึงควรเร่งดำเนินการแผนพัฒนาระบบขนส่งมวลชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการส่วนขยายรถไฟฟ้ามวลชนให้ครอบคลุมกรุงเทพฯ
และพื้นที่ใกล้เคียงโดยเร่งด่วน ตลอดจนพัฒนาระบบเครือข่ายคมนาคมขนส่งซึ่งรวมไปถึงการปรับปรุงบริการรถโดยสารสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชน
|