เมื่อวันที่
3 เมษายน 2550
ประเทศไทยได้มีการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น
(Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงเดือนตุลาคม
ปี 2550 โดยความตกลงดังกล่าวครอบคลุมการเปิดเสรีด้านการค้าทั้งสินค้า
การค้าบริการ การลงทุน รวมถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ซึ่งสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยก็เป็นหนึ่งในรายการสินค้าที่จะได้รับการลดภาษีจากญี่ปุ่นเหลือร้อยละ
0 จากเดิมที่จัดเก็บอยู่ระหว่างร้อยละ 2.7-10.0 ด้วย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
เห็นว่าปัจจัยดังกล่าวน่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยในปี
2550 ในการขยายมูลค่าส่งออกในตลาดญี่ปุ่นที่มีมูลค่านำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวจากตลาดโลกไม่ต่ำกว่าปีละ
5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯได้บ้างระดับหนึ่ง ภายหลังจากที่ในปี 2549
ที่ผ่านมา
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยไปยังตลาดญี่ปุ่นคิดเป็นมูลค่า
6,243.5 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 5.9
ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลมาจากค่าเงินบาทของไทยที่แข็งกว่าค่าเงินสกุลอื่นๆของคู่แข่งโดยเปรียบเทียบ
โดยคาดว่าผลจากข้อตกลงดังกล่าวจะมีส่วนทำให้สินค้าไทยราคาถูกลงในสายตาของผู้นำเข้าญี่ปุ่น และมีแนวโน้มให้ผู้ประกอบการของไทยมีโอกาสร่วมดำเนินธุรกิจกับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นที่สนใจทำการค้ากับไทยเพิ่มขึ้น
ที่จะมีผลให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเรียนรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคจากผู้ร่วมทุนชาวญี่ปุ่นตามมา
อันจะนำไปสู่ความสามารถในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของสินค้ากลุ่มนี้ของไทยในตลาดญี่ปุ่นสูงขึ้นได้ ประกอบกับปัจจุบันเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปี
2550 ก็มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
โดยจากรายงานล่าสุดของธนาคารกลางญี่ปุ่น พบว่าในไตรมาสแรกปี 2550
ที่ผ่านมาเศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวถึงร้อยละ 3.3
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของการบริโภคและการส่งออก
และชาวญี่ปุ่นเองก็มีประเพณีนิยมในการให้ของขวัญแก่กันและกัน ซึ่งเครื่องประดับและอัญมณีมักจะเป็นสินค้าลำดับต้นๆ
ที่คนญี่ปุ่นนิยมเลือกซื้อเป็นของขวัญมอบให้แก่กัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
จึงคาดว่า ในปี 2550
มูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทยไปตลาดญี่ปุ่นน่าจะปรับเพิ่มขึ้นได้ประมาณร้อยละ
5-10 หรือคิดเป็นมูลค่าการส่งออกประมาณ 6,500-7,000 ล้านบาท
|