การที่อาเซียนเร่งรัดการเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุน
เป็นมาตรการเพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
ในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับการรวมตัวของภูมิภาคอาเซียน
แข่งขันกับประเทศอื่นๆ นอกภูมิภาค เช่น จีนและอินเดีย
โดยมีเป้าหมายสุดท้าย คือ การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(ASEAN Economic Community : AEC) ภายในปี 2558 (ค.ศ.2015)
ซึ่งจะทำให้อาเซียนกลายเป็นภูมิภาคที่มีฐานการผลิตและตลาดเดียวกัน
โดยการเปิดเสรีด้านการค้าสินค้า ภาคบริการ และการลงทุน
รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มีทักษะอย่างเสรี
และการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรีมากขึ้น
ไทยในฐานะเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกอาเซียน
ควรเร่งสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันในเวทีโลก
เพื่อเป็นแหล่งดึงดูด FDI ของประเทศทั้งในอาเซียนและนอกอาเซียน
เตรียมพร้อมต่อการเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุนอย่างเต็มที่ในปี
2558 ตามข้อตกลงของกลุ่มอาเซียน
โดยภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในเวทีโลก
ดังนี้
1. เพิ่มจำนวนแรงงานที่มีทักษะ
ปัจจุบันไทยขาดแคลนแรงงานฝีมือในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการหลายสาขา
ที่สำคัญ ได้แก่ ภาคสิ่งทอ อิเล็กทรอนิกส์ และเกษตรแปรรูป
รวมทั้งภาคบริการที่ไทยมีศักยภาพ เช่น
สาขาสุขภาพและสาขาท่องเที่ยว
ความเพียงพอของแรงงานที่มีทักษะและมีคุณภาพมีความสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ
และดึงดูด FDI ด้วย
2. ลดต้นทุนด้านโลจีสติกส์
ต้นทุนด้านโลจีสติกส์ของไทยค่อนข้างสูง
ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูง
และกระบวนการดำเนินธุรกิจล่าช้า
ซึ่งกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยและบั่นทอนบรรยากาศด้านการลงทุนของประเทศภาครัฐควรเร่งวางแผนพัฒนายกระดับระบบโลจิสติกส์ของไทยให้เป็นมาตรฐานสากล
สนับสนุนการเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคอินโดจีน
และแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ
เพื่อเอื้อความสะดวกต่อภาคธุรกิจให้มากขึ้น
3. ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา
(R&D) -
ภาครัฐควรสนับสนุนให้มีการเชื่อมโยงการวิจัยและพัฒนาระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคธุรกิจให้มากขึ้น
เพื่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ
และนำผลการวิจัยมาใช้ต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทย
กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาทางเทคโนโลยี
และการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้
การวิจัยและพัฒนาคุณภาพสินค้าไทยให้ได้มาตรฐานสากลและคำนึงถึงปลอดภัยต่อผู้บริโภค
นอกจากจะช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต
และสร้างบรรยากาศด้านการลงทุนแล้ว
ยังช่วยขจัดอุปสรรคจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี
(Non-Tariff Barriers : NTBs) รักษาสิ่งแวดล้อมภายในประเทศ
ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของผู้บริโภค
และสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในประเทศเองด้วย
|