จากปัจจุบันผู้บริโภคตื่นตัวและห่วงใยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพการผลิตสินค้าเกษตรโดยพึ่งพาสารเคมีเริ่มถูกปฏิเสธและถูกกีดกันมากขึ้นทำให้สินค้าเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพได้รับความสนใจและจะทวีความสำคัญยิ่งๆขึ้นในอนาคตประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลกก็ได้มีการริเริ่มและทำการเกษตรอินทรีย์ซึ่งพืชสำคัญแรกๆที่มีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก
ก็คือข้าวอินทรีย์
ข้าวอินทรีย์เป็นการผลิตข้าวที่หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีทุกชนิด
หรือสารสังเคราะห์ต่างๆ รวมไปถึงปุ๋ยเคมี
และยาปราบศัตรูพืช
ในทุกขั้นตอนการผลิตเน้นการใช้สารอินทรีย์จากธรรมชาติเท่านั้นซึ่งข้อจำกัดในการขยายตัวของการผลิตคือ
ความเข้มงวดในการตรวจสอบรับรองว่าเป็นข้าวอินทรีย์อย่างแท้จริง
ซึ่งไทยได้กำหนดมาตรฐานการผลิตพืชอินทรีย์ในปี 2543และจัดตั้งสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์เพื่อเป็นองค์กรในการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานพืชอินทรีย์
ในปัจจุบันพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากลแล้วมีจำนวน
52,181.25 ไร่
ในแต่ละปีไทยมีปริมาณการผลิตข้าวอินทรีย์ประมาณ 15,000 ตัน
ถ้าเทียบกับเมื่อเริ่มมีการปลูกข้าวอินทรีย์ในประเทศไทยในปี
2535 ซึ่งมีผลผลิตเพียง 2,000 ตัน
เท่ากับว่าผลผลิตข้าวอินทรีย์ในประเทศไทยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ
50.0 ต่อปี
อย่างไรก็ตามเนื้อที่ปลูกข้าวอินทรีย์คิดเป็นเพียงร้อยละ
0.09
ของเนื้อที่ปลูกข้าวทั้งหมดของไทยและผลผลิตข้าวอินทรีย์เท่ากับ
0.06 ของผลผลิตข้าวหมดเท่านั้น
ดังนั้นไทยจึงยังมีโอกาสในการพัฒนาส่งเสริมให้มีการขยายพื้นที่ปลูกและผลผลิตข้าวอินทรีย์อีกมากแหล่งปลูกข้าวอินทรีย์ในประเทศไทยร้อยละ 80.0
เป็นพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยเฉพาะในจังหวัดสุรินทร์ ยโสธร อุบลราชธานี อุดรธานีมหาสารคามศรีสะเกษและขอนแก่น ส่วนอีกร้อยละ 20.0
อยู่ในภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงราย พะเยา เชียงใหม่
เพชรบูรณ์และอุทัยธานี
ราคาข้าวเปลือกอินทรีย์ที่เกษตรกรขายได้จะสูงกว่าราคาข้าวเปลือกโดยทั่วไปประมาณร้อยละ
10
ซึ่งข้าวอินทรีย์ที่ผลิตจำหน่ายในปัจจุบันมีทั้งข้าวเปลือกเจ้าอินทรีย์และข้าวเปลือกเหนียวอินทรีย์ในส่วนที่เป็นข้าวสารบรรจุถุงจำหน่ายในประเทศมีราคาสูงกว่าข้าวสารบรรจุถุงทั่วไปประมาณร้อยละ
20
สำหรับราคาข้าวอินทรีย์ในตลาดต่างประเทศสูงกว่าราคาข้าวสารทั่วไปร้อยละ
25-30 และข้าวขาวดอกมะลิ105
อินทรีย์จะมีราคาใกล้เคียงกับข้าวพันธุ์บาสมาติของอินเดีย
ข้าวอินทรีย์ที่ไทยผลิตได้ร้อยละ 96
ส่งไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ
คาดว่าปริมาณการส่งออกข้าวอินทรีย์ในปี 2550 เท่ากับ
14,400 ตัน มูลค่า 1,500 ล้านบาท
หรือทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.0
เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาตลาดหลักสำคัญคือประเทศต่างๆในยุโรปซึ่งความต้องการข้าวอินทรีย์ของตลาดยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ
15-20 ต่อปีนอกจากนี้ตลาดมีแนวโน้มที่ผู้ส่งออกข้าวอินทรีย์ของไทยจะสามารถเจาะขยายตลาดได้มากขึ้น
คือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
จากการสำรวจพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ทั่วโลกแล้วไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์มากเป็นอันดับ
5 รองจากจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ กล่าวคือ
พื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ทั่วโลกเท่ากับ 839,463 ไร่
แยกเป็นพื้นที่ปลูกข้าวอินทรีย์ในจีนร้อยละ 44.7
อินโดนีเซียร้อยละ 19.4 ฟิลิปปินส์ร้อยละ 10.5
เกาหลีใต้ร้อยละ 8.0 และไทยร้อยละ 6.2
อย่างไรก็ตามไทยก็ยังเป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอินทรีย์อันดับหนึ่งของโลกเนื่องจากทั้งจีนอินโดนีเซีย
ฟิลิปปินส์และเกาหลีใต้นั้นมีการส่งออกข้าวอินทรีย์น้อยมาก
โดยผลผลิตข้าวอินทรีย์เกือบทั้งหมดบริโภคในประเทศ
เพราะความต้องการบริโภคข้าวอินทรีย์ในประเทศมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกล่าวคือในจีนโดยเฉพาะทางพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศความต้องการบริโภคข้าวอินทรีย์เพิ่มขึ้นอันเป็นผลจากผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจความปลอดภัยในการบริโภคอาหารมากขึ้นและผู้บริโภคมีรายได้สูงขึ้นทำให้มีความสามารถซื้อข้าวอินทรีย์บริโภคได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามจีนก็ยังเป็นประเทศที่อาจจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในอนาคตเนื่องจากรัฐบาลจีนมีการส่งเสริมการปลูกข้าวอินทรีย์
และมีหน่วยงานรับรองมาตรฐานอินทรีย์เกิดขึ้นอย่างมาก
สำหรับตลาดข้าวอินทรีย์ในประเทศไทยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ
4.0 ของปริมาณข้าวอินทรีย์ที่ผลิตได้ทั้งหมด
โดยข้าวอินทรีย์ที่จำหน่ายในประเทศแบ่งออกเป็น 2
ตลาดอย่างชัดเจนคือข้าวอินทรีย์ที่จำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรดและช่องทางขายตรง
ซึ่งราคาจะค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นข้าวมาตรฐานเดียวกับส่งออก
ส่วนอีกตลาดหนึ่งจะเป็นตลาดข้าวอินทรีย์ที่จำหน่ายโดยชุมชนเกษตรกรซึ่งวางจำหน่ายในชุมชนที่เป็นแหล่งผลิตและร้านจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์โดยเฉพาะ
ราคาจะต่ำกว่าข้าวอินทรีย์ประเภทแรก
แต่ก็ยังสูงกว่าราคาข้าวสารปกติ
ดังนั้นรัฐบาลและภาคเอกชนต้องเร่งส่งเสริมผลักดันให้มีการขยายการผลิตข้าวอินทรีย์อย่างจริงจังทั่วประเทศ
โดยเฉพาะการส่งเสริมความเข้าใจในหลักการผลิตข้าวอินทรีย์ที่ได้มาตรฐานสากลและการจัดหาตลาดที่แน่นอน ซึ่งระบบการส่งเสริมที่ได้ผลคือ
ระบบคอนแทรกฟาร์มมิ่งและระบบสหกรณ์
เนื่องจากเกษตรกรที่อยู่ในโครงการมั่นใจว่ามีตลาดรองรับผลผลิตนอกจากผลิตเพื่อส่งออกแล้วยังสามารถขยายการผลิตเพื่อใช้บริโภคภายในประเทศ
เพื่อสุขอนามัยและคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทย
|