อุตสาหกรรมเครื่องประดับเงินของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออกไม่ต่ำกว่าร้อยละ
60
ของมูลค่าการผลิตทั้งหมด
และมีมูลค่าการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในช่วงปี
2540-2541
ที่พบว่าภาวะอุตสาหกรรมการส่งออกเครื่องประดับเงินของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นมากอย่างชัดเจน
จากนั้นในช่วงปี
2543-2547
อัตราการเติบโตของการส่งออกเครื่องประดับเงินของไทยก็ยังคงเติบโตต่อเนื่องด้วยอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ
16-17
ต่อปี
ส่วนสถานการณ์การส่งออกเครื่องประดับเงินในระหว่างปี
2548-2549
นั้น พบว่าการส่งออกยังคงเติบโตต่อเนื่อง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าการเติบโตเป็นไปในทิศทางที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆที่มีการเติบโตด้วยอัตราการขยายตัวสองหลักติดต่อกันมาหลายปี
โดยในปี
2548
ไทยสามารถส่งออกสินค้ากลุ่มเพิ่มขึ้นร้อยละ
9.2
ขณะที่ในปี
2549
เพิ่มขึ้นร้อยละ
6.6 ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากจำนวนคู่แข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในตลาดโลก
โดยเฉพาะจากจีนและอินเดียในตลาดระดับล่าง
ทำให้ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วในการยกระดับสินค้าสู่ตลาดระดับบนมากขึ้น
โดย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
คาดว่าในปี
2550
ไทยน่าจะสามารถส่งออกเครื่องประดับเงินได้เพิ่มขึ้นในระดับร้อยละ
5-10
หรือคิดเป็นมูลค่าการส่งออกไม่ต่ำกว่า
23,000
ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปี
2550 ผู้ประกอบการไทยยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นภาวะการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งอย่างจีนและอินเดียที่เป็นทั้งคู่ค้าและคู่แข่งสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไปไม่ได้ ความผันผวนพอสมควรทั้งค่าเงินบาท ระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก และระดับราคาวัตถุดิบเงิน รวมถึงภาวะเศรษฐกิจของตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ
ญี่ปุ่น และยุโรป
ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศประเมินว่าจะมีแนวโน้มที่ชะลอตัวลงระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับปี
2549
ที่ผ่านมา และการที่สหรัฐฯตัดสิทธิทางศุลกากร (Generalized
System of Preferences- GSP)
ของเครื่องประดับเงินไทยบางรายการ
ดังนั้นในปี
2550
ผู้ประกอบการไทยหลายรายยังคงต้องทำงานหนักอีกอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่า
และสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้เกิดขึ้น โดยผู้ผลิตจำเป็นต้องมีความรู้ในด้านการควบคุมคุณภาพ ดีไซน์ล่าสุดและแนวโน้มแฟชั่น นอกจากนี้ผู้ประกอบการไทยควรหาโอกาสเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในกลุ่มตลาดใหม่ๆมากขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเพิ่มช่องทางกระจายสินค้า
ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เครื่องประดับเงินไทยที่ปัจจุบันสามารถครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ
2
ในตลาดโลกสามารถขยายตลาดส่งออกในตลาดใหม่ๆได้มากยิ่งขึ้นนับจากนี้
ย้อนกลับ::: |