การประชุมผู้นำ
กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก(เอเปก)
ที่ฮานอย ประเทศเวียดนาม ระหว่าง
17
-19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า
จีนเป็นประเทศ ที่ค่อนข้างจะมีบทบาทสำคัญในครั้งนี้
แม้นายหู จิ่น เทา ประธานาธิบดีจีน
จะไม่ใช่ผู้นำที่สำคัญที่สุดในงาน
แต่ก็ถือได้ว่ามีความสำคัญโดยเฉพาะกับสหรัฐ
ที่ผู้นำหลายประเทศทั้ง รัสเซีย ญี่ปุ่น
เกาหลีใต้ต้องเดินทางไปขอเข้าพบหารือกับประธานาธิบดี
จอร์จ ดับเบิลยู บุช ณ โรงแรมที่พัก แต่สำหรับผู้นำจีน
บุช เดินทางไปพบ หู ถึงโรงแรมที่พักเอง
เหตุผลง่ายๆ เป็นเพราะว่า จีน
ไม่ได้เป็นแค่พันธมิตรคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ
และหนึ่งในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกเท่านั้น
แต่จีนยังต้องการเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจทางการเมืองและความมั่นคงของโลกด้วย
หากวิเคราะห์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะนี้
จะพบว่า
70% มาจากสหรัฐอเมริกาและจีน
แต่เศรษฐกิจของสหรัฐกำลังชะลอตัวลงตามวัฏจักรของอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์
และยังมีปัญหาขาดดุลการค้า
และขาดดุลงบประมาณอีกจำนวนมหาศาล
เทียบกับจีนเศรษฐกิจกำลังเติบโต
ตัวเลขทางเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลจีนคาดการณ์จะขยายตัวในระดับเกิน
10% ต่อปี
และเชื่อว่าคนอเมริกันจะยังคงสนใจบริโภคสินค้าจีนอยู่
ปฏิเสธไม่ได้ว่า
เศรษฐกิจจีนและสหรัฐนั้นเกี่ยวพันกับอยู่มาก
ตัวอย่างเห็นได้จาก ห้างค้าปลีก วอล-มาร์ท
จ้างจีนผลิตสินค้าราคาถูกไปขายให้คนอเมริกันชั้นกลาง
ยังไม่รวมอุตสาหกรรมอื่นๆ
ขณะเดียวกันโรงงานจีนที่ผลิตสินค้าให้กับบริษัทสหรัฐ
ก็มีการสร้างงานให้กับคนจีนระดับกลางและล่างได้มีงานทำด้วย
คนส่วนใหญ่ เชื่อว่า ในศตวรรษหน้า
จีนจะขึ้นมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งของโลกแทนสหรัฐ
ดูจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่ยังคงขยายตัวในอัตราเฉลี่ย
10.4% ต่อปี
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตขยายตัว 16.1%
และมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงกว่า 1
ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 20%
ของทุนสำรองทั่วโลก
ขณะเดียวกัน มีบางคนกล่าวว่า เศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัว
แต่หลายคนก็ออกมาค้านว่า เป็นเพราะกลัวกันมากเกินไป
หรือถึงแม้ว่าจีดีพีจีนจะขยายตัวแค่
7-8%
ก็ไม่มีใครคิดว่าคนจีนจะหยุดผ่อนรถ ผ่อนบ้าน หรือ
ถ้าจีดีพีจีนจะขยายตัวแค่ 5%
เทียบกันแล้ว ก็ยังสูงกว่าในสหรัฐ สหภาพยุโรป ฯลฯ
และเชื่อว่า
จีนจะยังเป็นประเทศที่บริโภคทรัพยากรธรรมชาติรายใหญ่ของโลกอยู่
โดยเฉพาะสัดส่วนการบริโภคในประเทศ กว่า 5
ปีที่ผ่านมา
พบว่าคนจีนมีการใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นในระดับ 10%
หรือขยายตัวเร็วที่สุดในโลก
ขณะที่การออมของครัวเรือนจีนในรอบกว่า 10
ปีที่ผ่านมาลดลงจาก 20%
ลงมาที่ 16%
ของจีดีพี
เหตุที่ การบริโภคของจีนขยายตัวอย่างรวดเร็ว
แต่อัตราการออมยังคงสูง เกือบถึง
50%
เป็นเพราะบริษัทจีนมีการสะสมเงินจากผลกำไรกันมากขึ้น
นอกจากนี้
ตัวเลขภาระหนี้ครัวเรือนของคนจีนในปัจจุบันก็ยังอยู่ในระดับต่ำมาก
เทียบกับประเทศพัฒนาแล้วในเอเชีย
โดยผู้บริโภคจีนมีภาระหนี้คิดเป็นสัดส่วนเพียง
12% ของจีดีพี
ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับ มาเลเซีย อยู่ที่ระดับ
45% ของจีดีพี สิงคโปร์
48% ฮ่องกง 57%
ไต้หวัน 59%
เกาหลีใต้ 62% เป็นต้น
และคาดว่า ทันทีที่จีนเปิดให้บริการ
ระบบธนาคารเต็มรูปแบบ รวมถึงบริการด้านสินเชื่อ
จะกระตุ้นให้การบริโภคในจีนยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้นในอนาคต
ซึ่งตอนนี้มีสถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์ต่างชาติ
กว่า
10
รายเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในธนาคารพาณิชย์จีน
เพื่อเปิดให้บริการระบบธนาคาร
รวมทั้งสินเชื่อและบัตรเครดิต
ขณะที่บริษัทต่างชาติอีกจำนวนมากก็กำลังรอเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของจีน
เพื่อดึงดูผู้บริโภคจีนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
เหตุผลเท่านี้น่าจะสะท้อนให้เห็นได้ว่า
ทำไมจีน
จึงมีความสำคัญกับทั่วโลกในขณะนี้
|