คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น
(Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA)
ในวันที่ 3 เมษายน
2550
หลังจากประเทศไทยและญี่ปุ่นเริ่มต้นเจรจาอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
2547 และบรรลุความตกลงในหลักการเมื่อเดือนกันยายน
2548
แต่การเจรจาดังกล่าวหยุดชะงักลงชั่วคราวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองของไทย
คาดว่าความตกลงเปิดเสรีทางการค้าไทย-ญี่ปุ่นจะมีผลบังคับใช้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
เห็นว่า ความตกลง JTEPA
มีทั้งผลดีและข้อควรระวังที่ส่งผลต่อกลุ่มคนต่างๆ
ในประเทศที่แตกต่างกันไป ในแง่ผลดี
ถือเป็นการสนับสนุนให้การส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นขยายตัวมากขึ้นจากการลดภาษีศุลกากรของญีปุ่นให้กับสินค้าส่งออกจากไทย
ส่วนผู้บริโภคของไทยจะได้ประโยชน์จากราคาสินค้าบริโภคนำเข้าจากญี่ปุ่นที่ต่ำลง
จากการลดภาษีศุลกากรของไทยให้กับสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น ได้แก่
ผลไม้เมืองหนาว เช่น แอปเปิ้ล ลูกเบอร์รี่ และพรุน นอกจากนี้
ความตกลง JTEPA
จะช่วยสร้างบรรยากาศการลงทุนในไทยและดึงดูดการลงทุนจากญี่ปุ่นเข้ามาไทยมากขึ้น
จากการผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการลงทุน
และจากการลดภาษีศุลกากรของไทยให้ญี่ปุ่น
ทำให้บริษัทญี่ปุ่นที่มีจำนวนมากในไทยซึ่งใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้า
สามารถนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าทุนจากญี่ปุ่นด้วยต้นทุนที่ต่ำลงจากการลดภาษีของไทย
ท่ามกลางสถานกาณ์ปัจจุบันที่ภาคการส่งออกและการลงทุนของไทยถูกปัจจัยกดดันหลายประการ
ภาคการส่งออกของไทยสูญเสียขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่แข็งค่ามากกว่าค่าเงินของประเทศเอเชียอื่นๆ ส่วนภาคการลงทุน
ได้รับปัจจัยลบจากเหตุการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง
ความไม่สงบในภาคใต้ และการแก้ไขกฎหมายภายในของไทย ได้แก่
พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
และพระราชบัญญัติค้าปลีก ทำให้นักลงทุนต่างชาติ
รวมทั้งนักลงทุนจากญี่ปุ่น เกิดความไม่มั่นใจในการเข้ามาลงทุนในไทย
และมีแนวโน้มชะลอการลงทุนในไทยในช่วงปีนี้
เพื่อรอความชัดเจนในการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
และความสงบทางการเมืองเมื่อได้รัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
ผลดีอีกประการหนึ่ง คือ
การส่งออกแรงงานไทยไปญี่ปุ่น
จากการลดเงื่อนไขด้านคุณวุฒิการศึกษาให้พ่อครัวแม่ครัวไทยเข้าไปทำงานในญี่ปุ่นได้สะดวกขึ้น
แต่ญี่ปุ่นยังคงจำกัดสาขาแรงงานไทยที่จะเข้าไปทำงาน เช่น
ผู้ให้บริการสปา/นวดแผนไทย ซึ่งเป็นสาขาธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพ
รวมทั้งผู้ดูแลคนสูงอายุ
แต่ญี่ปุ่นยังไม่เปิดให้แรงงานไทยสาขาเหล่านี้เข้าไปทำงานในญี่ปุ่น
ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการยกระดับการศึกษาของไทย
ซึ่งถือว่าทรัพยากรมนุษย์ที่มีการศึกษาที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพ
และยังเป็นการรองรับการเข้ามาลงทุนของต่างชาติที่ต้องการแรงงานมีฝีมือและแรงงานทางเทคนิคด้วย
ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ที่สำคัญการจัดทำ
JTEPA
เป็นการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยให้ทัดเทียมกับประเทศอาเซียนที่จัดทำ
FTA กับญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ สิงคโปร์
มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ รวมทั้งอินโดนีเซีย บรูไน
และเวียดนามที่อยู่ระหว่างการเจรจาจัดทำ FTA
กับญี่ปุ่นด้วย
ผลกระทบต่อกลุ่มผู้ผลิตเหล็ก
ชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นด้วยต้นทุนต่ำลงจากการลดภาษีศุลกากรของไทย
แม้ว่าจะมีเวลาปรับตัว 5-11 ปี
ก่อนที่ภาษีจะลดลงเหลือ 0% ก็ตาม
ภาครัฐจึงควรเร่งรัดดำเนินการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยเพื่อปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปิดเสรี
FTA สำหรับประเด็นสำคัญที่เป็นข้อกังวลของภาคประชาชนซึ่งอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและสังคม
ได้แก่ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินทางปัญญา
และบริการสาธารณสุข
ถือเป็นประเด็นอ่อนไหวที่ภาครัฐควรเร่งชี้แจงทำความเข้าใจให้มากขึ้นอย่างทั่วถึง
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและลดกระแสกดดันของการคัดค้านการลงนามความตกลง
JTEPA นอกจากนี้ ในช่วงเวลาก่อนที่ความตกลง
JTEPA จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะมีระยะเวลา
6 เดือน หลังจากการลงนามความตกลงฯ
ภาครัฐควรเร่งปรับปรุงแก้ไขกฎหมายภายในให้พร้อมรองรับต่อการเปิดเสรีและข้อผูกพันภายใต้ความตกลงฯ
รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายด้วย
โดยเฉพาะเรื่องการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลในระยะยาวต่อชีวิต/ความเป็นอยู่ของคนและระบบนิเวศน์ในสังคม
ย้อนกลับ::: |