ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานส่งออกซึ่งเป็นสินค้าผักดาวรุ่งกำลังเผชิญปัญหาใหญ่เมื่อวันที่
29 ธันวาคม 2549
คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นต้นสำหรับข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของไทย
ในอัตราอยู่ระหว่างร้อยละ 4.3-13.2 (อัตราไม่เท่ากันแต่ละบริษัท)
แม้ว่าจะเป็นการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นต้นเท่านั้น
แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของไทย
เนื่องจากทางผู้นำเข้าในสหภาพยุโรปถูกเรียกเก็บเงินค้ำประกันการนำเข้าแล้ว
และการส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องไปยังสหภาพยุโรปเริ่มมีแนวโน้มลดลง
เพราะผู้นำเข้าในสหภาพยุโรปไม่มั่นใจสถานภาพของไทย
ซึ่งการประกาศอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดขั้นสุดท้ายในเดือนพฤษภาคม
2550
จะเป็นการตัดสินอนาคตของข้าวโพดหวานกระป๋องของไทยในตลาดสหภาพยุโรป
ซึ่งถ้าสหภาพยุโรปยังคงยืนยันการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดก็จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของไทยไปยังสหภาพยุโรปในระยะ
5 ปีต่อไป(2550-2554)
และส่งผลต่อเนื่องต่ออุตสาหกรรมข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องในไทย
กล่าวคือโรงงานข้าวโพดหวานจะต้องลดกำลังการผลิต
เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดหวานกว่า 200,000
ครอบครัวจะได้รับผลกระทบต่อเนื่อง
เพราะขีดความสามารถในการแข่งขันของข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของไทยลดลง
ด้วยอัตราภาษีที่สูงขึ้น ปริมาณความต้องการ
และระดับราคาวัตถุดิบข้าวโพดหวานต้องปรับตัวลงตามผลกระทบที่เกิดขึ้น
ไทยเป็นประเทศนอกสหภาพยุโรปที่ครอบครองอันดับหนึ่งในตลาดข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องที่สหภาพยุโรปนำเข้ามาโดยตลอด
ซึ่งไทยครอบครองส่วนแบ่งตลาดนำเข้าข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องจากประเทศนอกสหภาพยุโรปถึงร้อยละ
74.0
มูลค่าการนำเข้าข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องจากไทยของสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี
2545-2547 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม
ผู้ส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของไทยเริ่มเผชิญปัญหาเมื่อฮังการีเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปในเดือนพฤษภาคม
2547 ทำให้ในปี 2548
มูลค่าการนำเข้าข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของไทยในสหภาพยุโรปลดลงเหลือ
47.50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับในปี
2547 แล้วลดลงร้อยละ 0.1
หลังจากนั้นในปี 2549
เมื่อสมาคมผู้ผลิตข้าวโพดหวานยุโรปร้องเรียนให้ไต่สวนไทยในการทุ่มตลาดสินค้าข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องจนนำไปสู่การประกาศอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเบื้องต้น
ทำให้มูลค่าการนำเข้าข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของไทยในตลาดสหภาพยุโรปในปี
2549 ก็ยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากปี
2548 กล่าวคือ
มูลค่าการนำเข้าข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของไทยในตลาดสหภาพยุโรปในช่วง
11 เดือนแรกของปี 2549
ลดลงเหลือ 41.84
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วลดลงร้อยละ 7.0
คาดหมายว่าถ้าไทยถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องในสหภาพยุโรปแล้ว
การส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง
5 ปีต่อไป
เนื่องจากไทยจะเสียเปรียบในการแข่งขัน
ซึ่งคาดว่าทั้งฝรั่งเศสและฮังการีน่าจะแย่งส่วนแบ่งตลาดกลับคืนไปได้
ส่วนประเทศนอกสหภาพยุโรปที่เป็นคู่แข่งสำคัญของไทยและมีส่วนแบ่งตลาดข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องในสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น
คือ จีน และสหรัฐฯ
ซึ่งทั้งสองประเทศนี้เป็นคู่แข่งสำคัญในการส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องในตลาดสหภาพยุโรป
กล่าวคือ มูลค่าการนำเข้าข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของจีนในตลาดสหภาพยุโรปในช่วง
11 เดือนแรกของปี 2549
เพิ่มขึ้นเป็น 0.54
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ
155.0
ส่วนมูลค่าการนำเข้าข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องของสหรัฐฯในตลาดสหภาพยุโรปในช่วง
11 เดือนแรกของปี 2549
เพิ่มขึ้นเป็น 5.03
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ
10.2
แม้ว่าส่วนแบ่งตลาดนำเข้าของทั้งสองประเทศนี้ยังจะห่างจากไทยมาก
โดยจีนมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 1.0
และสหรัฐฯมีร้อยละ 8.9
แต่ผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเฉพาะกับผู้ส่งออกข้าวโพดหวานบรรจุกระป๋องไทยนับเป็นแรงผลักสำคัญที่ทำให้ผู้นำเข้าในสหภาพยุโรปหันไปนำเข้าจากทั้งสองประเทศนี้แทน
ปัจจัยที่สามารถช่วยบรรเทาผลกระทบจากปัญหาในสหภาพยุโรป คือ
1.ขยายการบริโภคในประเทศ
เนื่องจากในประเทศก็มีกระแสการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ
ดังนั้นการส่งเสริมการบริโภคผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานในประเทศก็สามารถเกาะกระแสความนิยมบริโภคนี้ได้
เนื่องจากข้าวโพดหวานจัดเป็นผักชนิดหนึ่งและยังเป็นอาหารที่มีกากใยสูงเหมาะสำหรับเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ
ประเด็นที่น่าสนใจคือ
ในขณะที่ไทยเป็นประเทศส่งออกผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานที่สำคัญของโลก
ไทยยังมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวาน
ซึ่งถ้ามีการรณรงค์ให้ตลาดส่วนนี้หันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานที่ผลิตได้ในประเทศก็จะทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น
และยังเป็นการประหยัดเงินตราต่างประเทศอีกด้วย กล่าวคือ ในปี
2549 ไทยนำเข้าข้าวโพดหวานสดแช่เย็นแช่แข็ง
49.11 ตัน มูลค่า 2.03
ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2548
แล้วทั้งปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 34.4
และ 48.4 ตามลำดับ
ทั้งนี้เนื่องจากผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ข้าวโพดหวานหันมาขยายตลาดในประเทศมากขึ้นหลังจากที่ตลาดส่งออกเริ่มเผชิญปัญหา
แต่เมื่อพิจารณาสถิติในระหว่างปี 2547-2548
ย้อนกลับ::: |