ญี่ปุ่นนับเป็นประเทศผู้ลงทุนรายสำคัญที่สุดในประเทศไทย
คิดเป็นสัดส่วนประมาณ
1
ใน 3
ของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามายังประเทศไทยทั้งหมด
ในระยะหลายปีที่ผ่านมา
ไทยเป็นประเทศที่นักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้ามาลงทุนมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย
แม้แต่ในช่วงปี 2549
ที่สถานการณ์ภายในประเทศเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง
แต่ถ้าเปรียบเทียบภายในกลุ่มประเทศเอเชียด้วยกัน
พบว่าการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยมีมูลค่าสูงเป็นอันดับสอง
รองจากประเทศจีน โดยในช่วง 6
เดือนแรกของปีงบประมาณปัจจุบันของญี่ปุ่น (FY 2549)
หรือ ระหว่างเดือนเมษายนถึงกันยายน 2549
ญี่ปุ่นมีการลงทุนในประเทศไทยมูลค่า 1,156
ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.2
เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สูงกว่าอัตราการขยายตัวโดยเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียที่ร้อยละ
6
อย่างไรก็ตาม
ตัวเลขเงินลงทุนที่เข้ามา ณ ปัจจุบันนี้
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เคยมีต่อประเทศไทยในระยะก่อนหน้า
สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ณ ขณะนี้คือ
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนญี่ปุ่นถดถอยลงไปอย่างมาก
ในปัจจุบัน
ปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศหลายประการดำเนินไปในทิศทางเชิงลบ
ทำให้ความน่าดึงดูดของไทยลดน้อยลงในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ
ปัจจัยต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศในประเทศไทย
ได้สะท้อนผ่านมุมมองของนักลงทุนดังที่เห็นได้จากการผลสำรวจหลายชิ้น
ประกอบด้วย
-
การสำรวจความเชื่อมั่นของบริษัทญี่ปุ่นในเอเชีย
โดยองค์กรการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ JETRO (Japan
External Trade Organization) พบว่า
ค่าดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย (Diffusion
Index) ในเดือนมกราคม 2550
อยู่ที่ระดับ -12.9
อยู่ในแดนลบต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2549
และรั้งอันดับต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนติดต่อกันเป็นเดือนที่
3
- การสำรวจของ JETRO
ถึงแผนการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยพบว่า
บริษัทญี่ปุ่นมีแผนการลงทุนขยายธุรกิจในประเทศไทยในปี 2550
ลดลงจากปี 2549 ถึงร้อยละ
26.5
-
การสำรวจของธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น หรือ
JBIC (Japan Bank of International Cooperation)
ประจำปี 2549
สอบถามความคิดเห็นของบริษัทข้ามชาติญี่ปุ่นถึงมุมมองต่อประเทศที่สนใจเข้าไปลงทุนในระยะ
3 ปีข้างหน้า
พบว่าความสนใจของบริษัทญี่ปุ่นในการเข้ามาลงทุนที่ประเทศไทยลดลงมาเป็นอันดับที่
4 จากที่เคยอยู่ในอันดับ 3
และอันดับ 2
ในการสำรวจเมื่อปี 2548 และ 2547
ตามลำดับ
โดยประเทศที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้าไปลงทุนมากที่สุดยังคงเป็นจีน
รองลงมาคืออินเดีย และเวียดนามแซงหน้าไทยขึ้นมาเป็นอันดับ 3
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนญี่ปุ่นต่อประเทศไทยที่ถดถอยลง
ในขณะที่มุมมองของนักลงทุนญี่ปุ่นกลับให้ความสนใจต่อการไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้น
นับได้ว่าเป็นสัญญาณที่ภาครัฐไม่อาจมองข้ามได้
และควรเร่งหามาตรการแก้ไขตลอดจนปรับแนวนโยบายการลงทุนเพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
สาเหตุสำคัญที่ทำให้ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนการลงทุนในไทยอ่อนแอลง
เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนของไทยถูกกระทบจากเหตุการณ์ภายในประเทศหลายด้าน
ที่สำคัญ ได้แก่
ปัญหาทางการเมือง
เหตุการณ์วินาศกรรม
ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทมาตรการสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น
ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งมีผลทำให้ธุรกิจต่างชาติในไทยมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการทางการเงินลดลง
และร่างแก้ไขพรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
ซึ่งแม้ว่าอาจไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการต่างชาติที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทยอยู่แล้วในวงกว้าง
แต่อาจกระทบต่อแนวโน้มการลงทุนใหม่ที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า
ปัจจัยต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการลงทุนจากต่างประเทศในประเทศไทย
ที่สะท้อนผ่านมุมมองของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายสำคัญที่สุดของไทย
อาจเป็นสัญญาณที่รัฐบาลไม่อาจมองข้าม และควรเร่งหามาตรการแก้ไข
ตลอดจนหันมาทบทวนปรับแนวนโยบายการลงทุนเพื่อรักษาสถานะการแข่งขันของไทยในด้านการลงทุนภายในภูมิภาค
ย้อนกลับ::: |