|
ธุรกิจน้ำผัก-ผลไม้นับว่าเป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง
และคาดว่าจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี
2550 ภายหลังจากที่ในช่วง 2
ปีที่ผ่านมาธุรกิจนี้ก็ประสบผลสำเร็จจากยอดขายในประเทศที่เพิ่มขึ้นและมูลค่าการส่งออกที่มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น
อันเป็นผลมาจากปัจจัยหนุนหลายประการ
กล่าวคือกระแสผู้บริโภคหันมาใส่ใจในสุขภาพยังคงมาแรง
ผู้บริโภคเริ่มหันมาบริโภคน้ำผัก-ผลไม้มากขึ้นแทนการบริโภคชาเขียวและน้ำอัดลม
โดยตลาดชาเขียวพร้อมดื่มที่เคยเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงระยะ
3
ปีที่ผ่านมาจนสามารถแย่งลูกค้าบางส่วนจากน้ำผัก-ผลไม้นั้น
ปริมาณการผลิตน้ำผัก-ผลไม้ในปี 2550
คาดว่าจะมีปริมาณ 175 ล้านตัน (ประมาณ
220 ล้านลิตร ) เพิ่มขึ้นร้อยละ
11.5 เมื่อเทียบกับในปี 2549
ซึ่งปริมาณการผลิตในปี 2549
มีทั้งสิ้น 157
ล้านตัน(ประมาณ 219 ล้านลิตร)
อันเป็นผลมาจากความต้องการบริโภคน้ำผัก-ผลไม้ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว
ทำให้คาดการณ์ว่าผู้ประกอบการจะเริ่มขยายกำลังการผลิต
รวมทั้งมีผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาในตลาด
ตลาดน้ำผัก-ผลไม้ในปี 2550
มีแนวโน้มแข่งขันรุนแรงมากขึ้น
โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ปรับกลยุทธ์ทั้งการทุ่มงบโฆษณากระตุ้นยอดขาย
เปิดตัวสินค้าใหม่เป็นน้ำผลไม้ที่เจาะกลุ่มลูกค้าได้กว้างขึ้น
และยังให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพเป็นหลัก
การปรับตำแหน่งทางการตลาดใหม่
จากน้ำผลไม้ที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่มาสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพที่เหมาะกับทุกวัย
คาดว่าในปี 2550
ตลาดน้ำผัก-ผลไม้ในประเทศมีมูลค่ากว่า 5,000
ล้านบาท มีอัตราการเติบโตร้อยละ 15
ต่อปี แบ่งเป็นตลาดน้ำผลไม้100%
มีมูลค่า 2,500
ล้านบาทอัตราการขยายตัวร้อยละ 10.0 ต่อปี
ตลาดน้ำผลไม้40%มูลค่า 500
ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวร้อยละ 8.0
ต่อปี และตลาดน้ำผลไม้ 25%
มีมูลค่า 2,000 ล้านบาท
อัตราการขยายตัวมากกว่าร้อยละ 10.0 ต่อปี
สำหรับการส่งออกน้ำผัก-ผลไม้ของไทยมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี
2548 จากที่มูลค่าการส่งออกชะลอตัวในปี
2547 โดยในปี 2549
ปริมาณการส่งออกเท่ากับ 315,227 ตัน มูลค่า
8,854 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2548
แล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ
40.0 และร้อยละ 17.8
ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่องจากการส่งออกไปยังตลาดหลักทั้งสหภาพยุโรปและสหรัฐฯมีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น
ประเทศในแถบยุโรปจะบริโภคน้ำผลไม้โดยเฉลี่ย 22.1
ลิตร/คน/ปี
และนิยมบริโภคน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวมากกว่าน้ำผลไม้ที่มีรสหวาน
ทำให้สหภาพยุโรปเป็นตลาดส่งออกสำคัญของน้ำสับปะรด
ส่วนตลาดสหรัฐฯนั้นจะเป็นตลาดส่งออกน้ำผลไม้อื่นๆ
ส่วนน้ำผัก-ผลไม้ผสมนั้นตลาดส่งออกหลักคือประเทศในอาเซียน
โดยเฉพาะพม่า กัมพูชา ลาว สิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน
มาเลเซียและอินโดนีเซีย
ประเภทของการส่งออกน้ำผัก-ผลไม้ของไทยนั้นน้ำสับปะรดมีสัดส่วนประมาณร้อยละ
60.0
ของมูลค่าการส่งออกน้ำผัก-ผลไม้ทั้งหมด โดยในปี 2549
ไทยส่งออกน้ำสับปะรด 187,632
ตัน มูลค่า 5,252 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับในปี 2548
แล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 57.0
และร้อยละ 16.3 ตามลำดับ
ส่วนที่เหลือเป็นการส่งออกน้ำส้ม น้ำผัก-ผลไม้รวม
และน้ำผัก-ผลไม้อื่นๆ
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ามูลค่าการส่งออกน้ำผัก-ผลไม้ชนิดอื่นๆโดยเฉพาะน้ำผัก-ผลไม้เมืองร้อน
เช่น น้ำมะพร้าว น้ำมะขาม เป็นต้น มีอัตราการขยายตัวที่น่าสนใจ
แม้ว่าในปัจจุบันทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกจะยังไม่สูงมากนักก็ตาม
กล่าวคือ โดยในปี 2549
ไทยส่งออกน้ำผัก-ผลไม้ชนิดอื่นๆ 110,139
ตัน มูลค่า 3,203 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับในปี 2548
แล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1
และร้อยละ 19.7 ตามลำดับ
ตลาดส่งออกน้ำผัก-ผลไม้ที่สำคัญของไทยคือ สหภาพยุโรปสัดส่วนร้อยละ
42.7 ของมูลค่าการส่งออกน้ำผัก-ผลไม้ทั้งหมด
รองลงมาคือ สหรัฐฯร้อยละ 27.9
อาเซียนร้อยละ 5.9 และญี่ปุ่นร้อยละ
3.7 ตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวคือ ตลาดประเทศเพื่อนบ้าน
และตลาดในตะวันออกกลาง
ย้อนกลับ::: |
|