ด้วยเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลกในปัจจุบัน
และเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมหาศาล
จีนได้ขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศจนทำให้จีนกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีการลงทุนในข้ามชาติมากที่สุดในปัจจุบัน
ปัจจุบัน จีนมีกลุ่มธุรกิจข้ามชาติราว 10,000
กิจการ จนถึงสิ้นปี 2549 การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ
(Outward FDI)
ของจีนมีมูลค่าการลงทุนสะสมถึงกว่า 70 พันล้านดอลลาร์
ในธุรกิจต่าง ๆ กว่า 8,000 แห่งใน
150 ประเทศ ในช่วงปี 2546-2549
กลุ่มธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่ 200
แห่งของจีนได้เข้าไปลงทุนใน 71 ประเทศ
โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม IT
โทรคมนาคม อิเล็กทรอนิกส์และเคมีภัณฑ์ นำโดย ZTE
ซึ่งไปลงทุนในต่างประเทศมากที่สุดถึง 31
โครงการ ตามด้วย Huawei,
Lenovo, CNPC และ Sinopec
สำหรับในประเทศไทย
ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง
2-3 ปีที่ผ่านมา จาก 2,773
ล้านบาทในปี 2548 เป็น 12,306
ล้านบาท และ 17,175 ล้านบาทในปี
2549 และ 2550 ตามลำดับ
ในช่วงปี 2522-2547 ประมาณร้อยละ 70
ของการลงทุนข้ามชาติทั้งหมดของจีนมุ่งไปยังฮ่องกง อาเซียน
5 (ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์)
สหรัฐฯ ออสเตรเลีย รัสเซียและแคนาดา ตามลำดับ ทั้งนี้
จีนเน้นไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุด โดยฮ่องกง
เกาหลีใต้และอาเซียนรวมกันคิดเป็นครึ่งหนึ่งของการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมดของจีน
กว่าครึ่งหนึ่งของธุรกิจข้ามชาติจีนเป็นธุรกิจพลังงาน
ที่เหลือประกอบด้วยธุรกิจธนาคาร โทรคมนาคม เหมืองแร่
บริการสาธารณูปโภค ขนส่ง เคมีภัณฑ์และสินค้าเทคโนโลยี
ตามลำดับ
ปัจจุบัน มีกลุ่มธุรกิจของจีนกว่า 200
กิจการที่เข้ามาประกอบธุรกิจในไทย
รูปแบบการลงทุนของจีนในไทยมีลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น
การลงทุนด้านยุทธศาสตร์เพื่อขยายตลาดและสร้างการยอมรับแบรนด์สินค้า
(เช่น การลงทุนของ
Haier
และ TCL
เพื่อผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับจำหน่ายในไทย)
การแก้ปัญหาการกีดกันทางการค้าโดยผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในไทยเพื่อส่งออกไปยังประเทศที่สาม
(เช่น การผลิตสิ่งทอในไทยของ
World Best Holding
ด้วยมูลค่าการลงทุนนับพันล้านบาท)
การลงทุนในธุรกิจไทยที่มีโอกาสได้กำไรสูง (เช่น
การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในโครงการ All Seasons
ของกลุ่ม China Resources)
การลงทุนในโครงการก่อสร้างและกิจการสาธารณูปโภคในไทยและประเทศ
CLMV (เช่น กลุ่ม China
Railway) เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการลงทุนจำนวนมากของจีนไม่ได้เป็นการลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก
BOI
ทำให้ตัวเลขการลงทุนอย่างเป็นทางการที่ผ่าน BOI
เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการลงทุนทั้งหมดของจีนในไทย
เมื่อพิจารณาตัวเลขการลงทุนที่ยื่นขอส่งเสริมการลงทุนผ่าน
BOI
มูลค่าการลงทุนของจีนในไทยคิดเป็นสัดส่วนไม่มากนักเมื่อเทียบกับการลงทุนทั้งหมดของไทย
ในปี 2550 ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนของจีนมีมูลค่า 17,175
ล้านบาท จาก 26 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 3.4
ของมูลค่าโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด
(จำนวน 502,432 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนโดยรวมอาจไม่มาก
แต่ก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนหลังจากปี 2548
เป็นต้นมา โดยมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มจาก 2,773
ล้านบาทในปี 2005 เป็น 12,306
ล้านบาท และ 17,175 ล้านบาทในปี
2549 และ 2550 ตามลำดับ
ความสนใจของนักลงทุนจีนในไทยมักเน้นหนักไปในอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรเป็นหลัก
โดยอุตสาหกรรมทั้ง 2
กลุ่มรวมกันคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของโครงการลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี
2545-2549
ที่สำคัญรองลงมาได้แก่อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และกระดาษ
เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เหมืองแร่ เซรามิกส์
และภาคบริการ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา
การลงทุนของจีนจะมีลักษณะกระจายตัวไปยังอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น
ในอนาคต คาดว่า
การลงทุนของจีนในไทยจะเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากการผลักดันของทางการจีนให้ผู้ประกอบการของตนไปลงทุนยังต่างประเทศ
เพื่อลดแรงกดดันจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้
เสถียรภาพทางการเมืองและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยภายหลังการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม
2550
คาดว่าจะส่งผลให้กระแสการลงทุนของจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก
ทั้งนี้
ภาครัฐและเอกชนของไทยจำเป็นต้องแสดงให้จีนเห็นถึงนโยบายที่ชัดเจนที่ส่งเสริมการลงทุนของจีนในไทย
และจัดคณะผู้แทนระดับสูงไปเยือนจีนยังพื้นที่เป้าหมายซึ่งมีธุรกิจจำนวนมากของจีนตั้งอยู่
เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางเจา เซียะเหมิน เทียนจิน ฉงชิ่ง
เฉิงตู ต้าเหลียน เป็นต้น
เพื่อสร้างกระแสความสนใจประเทศไทยให้มากขึ้น
|