ในปี
2550
นับว่าเป็นปีที่ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่จะประคองตัวให้รอดท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องกังวลคือ
ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญตลาดหนึ่งของไทย
ราคาน้ำมันที่แม้ขณะนี้ปรับลดลงแล้ว
แต่ก็จะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง
และมีความผันผวนที่อาจจะปรับเพิ่มขึ้นได้อีก
นอกจากนี้ข้อกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีที่ประเทศคู่ค้าจะนำมาใช้มากขึ้น
เช่น ความเข้มงวดในการตรวจสอบสารเคมีตกค้าง
และการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งผลิต
การกำหนดโควตาการนำเข้าสินค้าและการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศ
เป็นต้น
และการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าเกษตร
เนื่องจากผู้ส่งออกต้องประสบกับภาวะขาดทุนตั้งแต่ช่วงปลายปี
2549 ถึงต้นปี 2550
อันเป็นผลมาจากมีการตกลงรับคำสั่งซื้อเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
และไม่สามารถเจรจาเปลี่ยนแปลงราคาได้
สำหรับปัจจัยหนุนที่เอื้อต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
โดยเฉพาะความต้องการในตลาดโลกที่มีแนวโน้มขยายตัว
ทั้งจากการที่ประเทศคู่แข่งประสบปัญหาภัยธรรมชาติและปัญหาสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการผลิต
ส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าหันมานำเข้าสินค้าจากไทยมากขึ้น
กอปรกับนโยบายรัฐบาลที่ปรับลดราคารับจำนำสินค้าเกษตรสำคัญ
ซึ่งเป็นผลดีต่อการแข่งขันในตลาดโลก ดังนั้นในปี
2550
ผู้ส่งออกต้องแปรปัจจัยหนุนให้มีความได้เปรียบมากขึ้นทั้งนี้เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยลบที่จะเกิดขึ้น
ในปีเพาะปลูก
2549/50
คาดว่าปริมาณการผลิตสินค้ากสิกรรมสำคัญเพิ่มขึ้นเกือบทุกรายการ
จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกตามความต้องการของตลาดและราคาที่จูงใจ
แม้ว่าจะเกิดวิกฤตน้ำท่วมในช่วงปลายปี 2549
ซึ่งเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต
สินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบอย่างมากคือข้าว
แต่คาดว่าจะมีการปลูกทดแทนในช่วงกลางปี 2550
อย่างไรก็ตามสินค้าเกษตรบางประเภทมีปริมาณการผลิตลดลง
อันเป็นผลมาจากพื้นที่ปลูกลดลง
โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
เนื่องจากเกษตรกรหันไปปลูกพืชอื่นๆที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจดีกว่าโดยเฉพาะมันสำปะหลัง
ส่วนปริมาณการผลิตปศุสัตว์ที่สำคัญโดยเฉพาะไก่เนื้อ
และสุกรในปี 2550
คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากราคาในปี 2549
ไม่จูงใจให้มีการขยายการเลี้ยง
และการคาดการณ์ตลาดส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัว
รวมทั้งการคาดการณ์ว่าในปี 2550
ราคาอาหารสัตว์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าปศุสัตว์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วมทำให้ปริมาณการผลิตปศุสัตว์ลดลงด้วย
สำหรับการผลิตสินค้าประมงในปี 2550
คาดว่ามีแนวโน้มขยายตัว โดยเฉพาะกุ้ง
ทั้งนี้ได้รับอานิสงส์มาจากการคาดการณ์ถึงการส่งออกที่จะอยู่ในเกณฑ์ดีในปี
2550
โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสหภาพยุโรป
ทำให้คาดว่าราคากุ้งในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนปริมาณการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรนั้นคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โดยได้รับอานิสงส์จากการคาดการณ์ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ทำให้คาดการณ์ว่าผู้บริโภคจะหันไปรับประทานอาหารสำเร็จรูปและอาหารกระป๋องเพิ่มขึ้น
โดยสินค้าที่คาดว่าจะมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น คือ
ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป
ผักผลไม้กระป๋องและแปรรูป
คาดการณ์ว่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี
2550 จะมีมูลค่าประมาณ 23,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อเทียบกับในปีที่ผ่านมาแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ
12.7
โดยอัตราการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรนั้นมีแนวโน้มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี
2549
ที่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์
โดยเฉพาะสินค้าปศุสัตว์เนื่องจากการส่งออกไก่แปรรูปไปยังตลาดสหภาพยุโรปมีข้อจำกัดในเรื่องโควตาส่งออก
ส่วนสินค้าในหมวดกสิกรรมและประมงการส่งออกยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
จากปริมาณความต้องการในตลาดโลกยังเพิ่มขึ้น
และประเทศผู้นำเข้าหันมานำเข้าจากไทยทดแทนประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรอื่นที่มีปริมาณการผลิตลดลงและมีปัญหาในเรื่องสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์
ในปี 2550
ปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องกังวลสำหรับภาคเกษตรกรรม
มีดังนี้
1.แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
จากการคาดการณ์ว่าในปี
2550
เศรษฐกิจของสหรัฐฯมีแนวโน้มชะลอตัว
ส่งผลทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของสหรัฐฯลดลง
ซึ่งผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยที่พึ่งพิงตลาดสหรัฐฯเป็นหลักต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆมาทดแทน
โดยตลาดที่น่าสนใจ แยกออกได้เป็น
ตลาดรองที่น่าสนใจสำหรับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรคือ
ออสเตรเลีย และแคนาดา
ส่วนตลาดรองที่น่าสนใจสำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรคือ
จีน เกาหลีใต้ และฮ่องกง
2.การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาท
คาดการณ์ว่าในปี
2550
ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีกเมื่อเทียบกับในปี
2549
ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรม ดังนี้
-โอกาสของผู้ผลิตสินค้าเกษตรจำหน่ายในประเทศ
สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นส่วนใหญ่
และถ้าสินค้าเหล่านั้นผลิตเพื่อขายในประเทศเป็นส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท
แต่ในกรณีที่ต้องพึ่งทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก
การจำหน่ายสินค้าในประเทศจะเป็นตัวช่วยบรรเทาผลกระทบของการแข็งค่าของค่าเงินบาทที่จะทำให้กำไรที่ลดลงจากตลาดส่งออก
โดยจะกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบมากน้อยเท่าใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าระหว่างตลาดในประเทศและตลาดส่งออก
ดังนั้นตั้งแต่ปี
2549 ต่อเนื่องถึงปี 2550
จะเห็นแนวโน้มว่าบรรดาผู้ประกอบการที่พึ่งพิงตลาดส่งออกเริ่มหันมาเจาะขยายตลาดในประเทศด้วย
โดยเฉพาะอาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็ง
-ผลกระทบต่อปัจจัยการผลิตและวัตถุดิบที่นำเข้า
การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการผลิตสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
โดยทำให้ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มลดลงกล่าวคือ
ปัจจัยการผลิตโดยเฉพาะปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืชนั้นไทยยังต้องพึ่งพิงการนำเข้า
ซึ่งส่งผลต่อเนื่องทำให้ต้นทุนการผลิตภาคกสิกรรมของไทยมีแนวโน้มลดลง
ส่วนการนำเข้าสินค้าเกษตรบางประเภทที่ไทยผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ
โดยผู้ประกอบการไทยต้องนำเข้าเพื่อผลิตสินค้าจำหน่ายในประเทศและส่งออก
สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่จะได้รับอานิสงส์จากการจากแข็งค่าของค่าเงินบาท
แยกเป็นสินค้าที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
ได้แก่นมและผลิตภัณฑ์ที่ต้องพึ่งพิงการนำเข้านมและครีม
ผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลีเช่น บะหมี่สำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่
ที่ต้องพึ่งพิงการนำเข้าข้าวสาลี เป็นต้น
ส่วนสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่ผลิตเพื่อส่งออกที่ได้รับอานิสงส์ได้แก่
ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ที่ต้องพึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์โดยเฉพาะกากถั่วเหลือง
และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
กุ้งและผลิตภัณฑ์ที่ต้องพึ่งพิงการนำเข้าปลาป่น
อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปที่ต้องพึ่งพิงการนำเข้าสัตว์น้ำโดยเฉพาะ
ปลาทูน่า ปลาหมึก และกุ้ง
อย่างไรก็ตาม
ชาวสวนผักและผลไม้และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องของไทยต้องเร่งปรับตัวรับการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นจากปัจจัยการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทที่จะหนุนให้การแข่งขันที่รุนแรงอยู่แล้วจากผลของการเปิดเขตการค้าเสรี
โดยเฉพาะผักและผลไม้เมืองหนาว
กล่าวคือการแข็งค่าของค่าเงินบาททำให้สินค้าเกษตรนำเข้ามีแนวโน้มราคาลดลง
ซึ่งทำให้การแข่งขันกับสินค้าเกษตรประเภทเดียวกันหรือที่สามารถทดแทนกันได้ดีขึ้น
ส่งผลกระทบทำให้สินค้าเกษตรที่ผลิตในประเทศต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
เนื่องจากผู้บริโภคคนไทยมักจะนิยมเลือกซื้อสินค้าเกษตรที่นำเข้า
ซึ่งเมื่อผนวกกับการที่ไทยเปิดเขตการค้าเสรีทั้งกับจีน
ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ทำให้ราคาสินค้าผักและผลไม้เมืองหนาวมีราคาลดลงอยู่แล้ว
-ผลกระทบต่อสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่พึ่งตลาดส่งออกเป็นหลัก
การแข็งค่าของค่าเงินบาทส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม
เนื่องจากทำให้ผู้นำเข้าตัดสินใจซื้อสินค้าไทยยากขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมาสินค้าอาหารของไทยแข่งขันได้ดีที่อัตราแลกเปลี่ยนระดับ
39-40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้าเกษตร
เนื่องจากผู้ส่งออกต้องประสบกับภาวะขาดทุนตั้งแต่ช่วงปลายปี
2549 ถึงต้นปี 2550
อันเป็นผลมาจากมีการตกลงรับคำสั่งซื้อเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
และไม่สามารถเจรจาเปลี่ยนแปลงราคาได้
3.ความผันผวนของราคาน้ำมัน
ในช่วงที่ผ่านมาความผันผวนของราคาน้ำมันส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร
โดยภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนการใช้น้ำมันประมาณร้อยละ
16.5 ของการใช้น้ำมันทั้งประเทศ
และในบรรดาต้นทุนการผลิตทั้งหมดโดยเฉลี่ยแล้วน้ำมันถือเป็นร้อยละ
14.4 ของต้นทุนการผลิต
ความผันผวนของราคาน้ำมันนั้นส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร
โดยเฉพาะสินค้าประมงทะเลที่เป็นการใช้น้ำมันมากที่สุด
ส่งผลทำให้เรือประมงโดยเฉพาะเรือประมงขนาดเล็กงดออกจับปลา
ทำให้ปริมาณสัตว์น้ำทะเลในประเทศลดลงและราคามีแนวโน้มสูงขึ้น
4.การเปลี่ยนแปลงระเบียบ/กฎเกณฑ์การนำเข้าของประเทศคู่ค้า
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี
2550
ยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงระเบียบ/กฎเกณฑ์การนำเข้าของประเทศคู่ค้า
ซึ่งประเทศคู่ค้ามักจะใช้เป็นมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี
โดยอ้างว่าเป็นการปกป้องผู้ผลิตและผู้บริโภคในประเทศ
ในปี 2550
สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรที่จะได้รับผลกระทบคือ
ไก่แปรรูปเนื่องจากสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลักเปลี่ยนมาตรการมากำหนดโควตานำเข้า
คาดว่าจะส่งผลต่อการขยายตัวของการส่งออกไก่แปรรูปไปยังตลาดสหภาพยุโรป
ส่วนกุ้งและผลิตภัณฑ์นั้นเนื่องจากสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด
โดยประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2550
จะมีการประกาศผลการทบทวนการเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทย
กล่าวคือ
ถ้าพิจารณาว่าไทยไม่มีการทุ่มตลาดกุ้งและผลิตภัณฑ์แล้ว
ผู้ส่งออกของไทยก็ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด
ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกกุ้งและผลิตภัณฑ์ของไทยเป็นอย่างมาก
แต่ถ้ามีการประกาศให้ยังคงเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดต่อไป
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมากหรือน้อยก็ต้องพิจารณาเปรียบเทียบอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดที่ประกาศใหม่ระหว่างไทยกับประเทศคู่แข่งขัน
อย่างไรก็ตามในปี
2550 ก็ยังมีปัจจัยหนุน
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้การแข่งขันของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในปี
2550 มีแนวโน้มดีขึ้น ดังนี้
1.สินค้าเกษตรในตลาดโลกปริมาณการผลิตลดแต่ความต้องการเพิ่ม
การคาดการณ์ว่าในปี
2550
ความต้องการสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
อันเป็นผลมาจากการที่ประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลกเผชิญปัญหาสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการผลิตและปัญหาภัยธรรมชาติ
ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลง
นอกจากนี้ความต้องการธัญพืชเพื่อใช้ในการผลิตไบโอดีเซลและเอธานอลในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ทำให้ความต้องการนำเข้าธัญพืชมาทดแทนเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะตลาดในสหภาพยุโรปหันมาสั่งซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพื่อเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น
เนื่องจากสหภาพยุโรปนำธัญพืชไปผลิตเอธานอล
2.นโยบายรัฐบาล
การปรับนโยบายการแทรกแซงตลาดของรัฐบาลนับว่าส่งผลต่อสภาพการแข่งขันในการส่งออกสินค้าเกษตรในตลาดโลก
โดยมาตรการแทรกแซงที่รัฐบาลประกาศแล้วคือ
มาตรการรับจำนำข้าว2549/50
ที่กำหนดราคารับจำนำใกล้เคียงกับราคาตลาด
ซึ่งเป็นผลให้ราคารับจำนำลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ส่งผลดีต่อการแข่งขันในตลาดโลก
ดังเช่นการกำหนดราคารับจำนำข้าวปี
2549/50
เป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาด
และอยู่ในสถานการณ์ที่สอดรับกับสถานการณ์ในตลาดโลกในปี
2550
ที่คาดว่าความต้องการข้าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โดยเป็นการส่งสัญญาณว่าราคาข้าวส่งออกของไทยมีแนวโน้มลดลง
ส่วนมาตรการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี
2549/50ปรับมาใช้ราคารับจำนำแบบขั้นบันไดทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาสินค้าล้นตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปี
2550
และรักษาเสถียรภาพของราคาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทย
ซึ่งนอกจากจะทำให้เกษตรกรทยอยการขุดหัวมันสำปะหลังแล้ว
ยังส่งผลให้ประเทศผู้นำเข้าทราบถึงทิศทางราคาชัดเจน
นอกจากนี้นโยบายการส่งเสริมพลังงานทางเลือกส่งผลให้ความต้องการมันสำปะหลังและปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นด้วย
|