Institute of Trade Strategies (สถาบันยุทธศาสตร์การค้า)

หอการค้าไทย

 

หน้าหลัก แนะนำสถาบัน

ความร่วมมือระหว่างประเทศ

การศึกษายุทธศาสตร์และผลงานวิจัย

บทความ ข้อมูลรายสินค้า
 
 

ทิศทางเศรษฐกิจไทยภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

โดย ดร. สุเมธ  ตันติเวชกุล

สรุปหลักแนวคิด

เศรษฐกิจพอเพียง

 
Trade Mission
ราชอาณาจักรบาห์เรน
สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
รัฐสุลต่านโอมาน

ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย

วัฒนธรรมชาวอาหรับ

Do's and DON'Ts in Arabian Society

The Smiling Military Intervention

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

 

 

.

     หอการค้าและสมาคมการค้า

หอการค้าไทย
หอการค้าจังหวัด
หอการค้าต่างประเทศในไทย
หอการค้าทั่วโลก
สมาคมการค้า

     หน่วยงานราชการ

กระทรวง
องศ์กรอิสระ

   สถาบันการเงิน

 

ธนาคาร

    สถาบันการลงทุน

สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน BOI

   สื่อสิ่งพิมพ์

หนังสือพิมพ์
นิตยสาร วารสาร

   สื่อออกอากาศ

สถานีโทรทัศน์
สถานีวิทยุ

ศูนย์แสดงสินค้า อิมแพ็ค
ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์
ศูนย์ประชุมนานาชาติ BITEC

   เว็บไซต์อื่น ๆ

เอแบคโพลล์
สวนดุสิดโพลล์
     หอการค้าไทยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
     มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย    
     ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
    

     Thailand  development  Research  Institute (TDRI)

     มูลนิธิสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย
     สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)
     สำนักงานสถิติแห่งชาติ
     สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (สคพ.) หรือ International Institute for Trade and Development (ITD)
     World Trade Orgainzition (WTO)
     International Trade Centre (UNCTAD/WTO)
     United Nations Conference on Trade and Development (UNCTAD)

จีน : ศูนย์กลาง(ใหม่)เศรษฐกิจโลก ความเติบโตที่มี"ราคา"ต้องจ่าย

 

 

      เมื่อ 11 ธันวาคมปีที่แล้ว (2549) เป็นวันที่จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ครบ 5 ปี ทุกสายตาทั่วโลกจับจ้องมองไปยังประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกและยังเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกอีกด้วย การเข้าเป็นสมาชิก WTO ครบ 5 ปี ยังทำให้จีนขยับอันดับจากประเทศที่มีขนาดการค้าใหญ่เป็นอันดับ 6 มาอยู่อันดับ 3 ของโลก ซึ่งเป็นเพราะการเข้าเป็นสมาชิก WTO ทำให้จีนต้องเปิดตลาดของตนแก่ประเทศอื่นมากขึ้น ขณะที่จีนก็สามารถขยายตลาดไปยังประเทศอื่นได้มากเช่นกัน

    ชาร์ลีน บาร์เชฟสกี้ อดีตผู้แทนการค้าของสหรัฐ กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้จีนได้กลายเป็น "ศูนย์กลางสำคัญ" ของเศรษฐกิจโลกไปแล้ว

   หัวใจสำคัญของความเป็นมหาอำนาจใหม่ทางเศรษฐกิจโลกของจีนก็คือ "สินค้าราคาถูก" อันเนื่องมาจากค่าแรงถูก (เพราะมีประชากรล้นเหลือ) ขณะที่ประเทศตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกา กล่าวหาว่าจีนจงใจทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนกว่าปกติราว 40% เพื่อทำให้ได้เปรียบคู่แข่งขันในการส่งออกสินค้า พูดง่ายๆ ก็คือดั๊มพ์ราคานั่นเอง

   ในปีที่แล้วเศรษฐกิจจีนเติบโต 10.4% มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงที่สุดในโลก

     การเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าของจีน ถูกประเทศตะวันตกมองว่าเป็นภัยคุกคาม ถูกหวาดระแวงจากสหรัฐอเมริกาเป็นพิเศษ เป็นการหวาดระแวงทั้งในแง่การเมืองระหว่างประเทศ ที่เกรงว่าจีนจะขึ้นมาคานอำนาจในเอเชียแล้ว ในแง่เศรษฐกิจก็นับว่าสหรัฐสะบักสะบอมมากที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย เพราะขณะนี้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไปแล้วถึง 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการขาดดุลสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐเช่นกัน ซึ่งเป็นเพราะรัฐบาลบุชใช้จ่ายงบประมาณเกินตัว โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการทำสงครามนอกประเทศและค่าใช้จ่ายด้านการทหารและความมั่นคง แต่ขณะเดียวกันก็หาเงินไม่เก่ง วันๆ เอาแต่กู้ยืมจากประเทศอื่น

   แต่สหรัฐกลับมองว่า "จีน" คือปัญหาสำคัญต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยกล่าวหาว่าจีนจงใจลดค่าเงินหยวนต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุดเป็นมูลค่า 2.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

    สินค้าราคาถูกจากจีน โดยเฉพาะรองเท้า อุปกรณ์กีฬา เหล็ก เสื้อผ้า ตีตลาดสหรัฐกระจุย ซึ่งแน่นอนย่อมเป็นที่พอใจของผู้บริโภคอเมริกัน แต่ผู้ที่เดือดร้อนก็คือผู้ประกอบการหรือผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เป็นพวกที่อยู่ใกล้ชิดกับศูนย์กลางอำนาจของรัฐบาล และวิ่งเต้นอย่างหนักเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐกดดันจีน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องค่าเงินหยวน การขอให้เปิดตลาดแก่สินค้าสหรัฐมากขึ้น และปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นเหตุให้รัฐบาลสหรัฐไล่ทุบไล่ถองจีนอยู่ตลอดเวลา เพื่อกดดันจีนให้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว

   ล่าสุดในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐออกมาขู่ว่าหากจีนไม่ยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้อง ก็อาจจะนำเรื่องขึ้นฟ้องร้องต่อ WTO โดยข้อหาที่จะฟ้องก็คือหาว่าจีนไม่ปฏิบัติตามกฎของ WTO เป็นการขู่ก่อนที่นายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีคลังสหรัฐจะนำทีมไปเจรจากับจีนเมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม ซึ่งดูเหมือนเป็นการเยือนที่ได้ผล เพราะในช่วงปลายเดือนธันวาคม ธนาคารกลางของจีนได้ออกมาระบุว่าในปีนี้ (2550) ค่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้น 3-4% ส่วนเศรษฐกิจคาดว่าจะเติบโต 9.5%

    อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตัวเลข 9.5% เป็นตัวเลขที่ทางจีนกดไว้ให้ต่ำกว่าความเป็นจริงมากกว่าเพราะเกรงจะถูกมองว่า "ร้อนแรง" เกินไป จนนำไปสู่ภาวะฟองสบู่แตกซึ่งจะกระทบไปทั้งโลก โดยประมาณการเดิมก่อนหน้านั้น นักวิเคราะห์และหลายฝ่ายมองว่าอัตราการเติบโตในปีนี้ของจีนจะยังคงเป็นเลขสองหลักอยู่เช่นเดิม

    นักวิเคราะห์และนักสังเกตการณ์จากซีกตะวันตกมองว่า การที่จีนผลิตสินค้าราคาถูกส่งออกสู่ตลาดโลกนั้น มันไม่ได้เป็น "ภัยคุกคาม" ต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาและยุโรปแต่เพียงด้านเดียว แต่หากนำมาซึ่ง "ประโยชน์และโอกาส" แก่อุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกาและยุโรปด้วย เพราะการที่บริษัทผู้ผลิตสินค้านำเข้าสินค้าประเภทชิ้นส่วนและวัตถุดิบราคาถูกจากจีนมาผลิตสินค้านั้น ช่วยให้อุตสาหกรรมของยุโรปและสหรัฐอเมริกาแข่งขันได้มากขึ้นด้วย

   นักสังเกตการณ์มองอีกว่า หลายคนอาจคิดว่าการเข้าเป็นสมาชิก WTO จะทำให้จีนมีแต่ได้กับได้ แต่นั่นเป็นการประเมินที่ต่ำไปในแง่ความสูญเสียและ "ราคา" ที่จีนต้องจ่ายแลกกับการเข้าเป็นสมาชิกองค์กรโลกบาลแห่งนี้

  "ราคา" ที่จีนต้องจ่ายอันเนื่องจากเข้าเป็นสมาชิก WTO ก็คือ ต้องลดภาษีนำเข้าเนื้อวัวลงจาก 50% เหลือ 12% ลดภาษีข้าวบาร์เลย์จาก 114% เหลือ 3% ภาษีสินค้ารถยนต์ลดจาก 100% เหลือ 25% เป็นต้น

   ทูตจีนประจำองค์การการค้าโลก ยืนยันว่าหลังจากจีนเข้าเป็นสมาชิก WTO แล้ว จีนต้องลดภาษีในหมวดสินค้าอุตสาหกรรมลงจากระดับเฉลี่ย 14.9% เหลือ 9.1% ในปีที่ผ่านมา ส่วนสินค้าเกษตรลดภาษีจาก 23.2% เหลือ 15.4%

   หันมามองดูภายในจีนเอง อย่างที่หลายฝ่ายกล่าวขานกันมาว่าความเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนไม่ได้กระจายผลประโยชน์ไปยังประชาชนทุกส่วนอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะประชาชนในชนบท เช่นเดียวกับที่ผลจากการเข้าเป็นสมาชิก WTO ก็ทำให้เกิดการกระจายประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียม และยังไปกระทบวิถีชีวิตของพวกเขาด้วย

    ชาวนาพ่อลูกสองที่ฐานะค่อนข้างดีอย่าง ฉุ่ย ซอง เด แห่งจังหวัดชางดอง ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของจีน ซึ่งมีพื้นที่เกษตรค่อนข้างมากคือ 10 mu (ประมาณ 6,600 ตารางเมตร) ดูเหมือนจะปรับตัวเข้ากับเศรษฐกิจโลกและยอมรับนโยบายของรัฐบาลในการปรับปรุงประเทศสู่ความทันสมัย แม้นายฉุ่ยจะไม่รู้ว่าการที่เขาต้องปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกดั้งเดิมคือพืชจำพวกเมล็ด (ข้าว ข้าวสาลี) มาเป็นการปลูกผลไม้จำพวกองุ่น เป็นเพราะสินค้าจากนอกประเทศเข้ามาตีตลาดอันเนื่องจากจีนต้องลดภาษีพืชผลตามกฎของ WTO แต่ก็ดูเหมือนว่าเขายอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ โดยแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งปลูกข้าวซึ่งราคาตกมากไว้กินต่อไป อีกส่วนหนึ่งปลูกองุ่นไว้ขายเพราะได้ราคาดีกว่าหลายเท่า

   แต่สำหรับชาวนาจนๆ มีพื้นที่เพียง 3 mu (ประมาณ 3,300 ตารางเมตร) อย่างบิน หวนเจี้ยน ชาวนาที่ทำงานหนักหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินมาตลอดชีวิต กลับเห็นว่าการเข้าเป็นสมาชิก WTO เป็นเรื่องที่เขาสุดจะทนรับได้อีกต่อไป และเขาไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจนี้เลย

   "ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ชนบทเปลี่ยนไปมาก ชาวนาต่างหันไปปลูกผักและผลไม้แทนข้าวเพราะได้ราคาดีกว่า" บินระบุ

   ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ชาวนาจีนได้รับผลกระทบหนักจากการที่ปริมาณสินค้าเกษตรจำนวนมหาศาลจากสหรัฐอเมริกาและประเทศต่างๆ ทะลักเข้าสู่จีน สินค้าเหล่านี้ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาเป็นสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนราคาจากรัฐบาลสูง ทำให้เมื่อส่งเข้ามาขายในจีนจึงมีราคาถูก โดยราคาข้าวสาลีจากต่างประเทศมีราคาถูกลง 10% ถั่วเหลืองจากบราซิล สหรัฐอเมริกา และอาร์เจนตินา มีราคาถูกกว่าสินค้าท้องถิ่น 5-10%

   ภาวะราคาสินค้าตกต่ำ (อย่างที่เกิดกับราคาหอม กระเทียมในบ้านเรา) ทำให้รัฐบาลจีนต้องเข้าไปรับซื้อพืชผลจากเกษตรกรจีนถึง 45 ล้านตัน ในช่วง 9 เดือนของปีที่แล้ว

   นักเศรษฐศาสตร์ของจีนได้เสนอแนะรัฐบาลว่าจำเป็นต้องตระหนักว่าจีนมีประชากรมากที่สุดในโลก แต่มีที่ดินเพียง 1 ส่วน 14 ของโลก (จีนมีพื้นที่ใหญ่อันดับสามรองจากรัสเซียและแคนาดา) ดังนั้น การกำหนดนโยบายด้านการเกษตรที่เน้นการใช้แรงงานนำหน้ามากกว่าจะเน้นการใช้พื้นที่มาก ซึ่งการเกษตรที่เหมาะกับการใช้แรงงานจำนวนมากก็คือการปลูกผัก ผลไม้

   นักวิเคราะห์ประเมินว่า จากการที่การส่งออกของจีนเติบโตอย่างมากจากจุดแข็งเรื่องสินค้าราคาถูกเพราะแรงงานมีราคาถูกจนตีตลาดไปทั่วโลกในขณะนี้ เชื่อว่าในอีกไม่เกิน 4-5 ปีข้างหน้า จีนจะเผชิญกับการถูกกีดกันทางการค้าจากประเทศต่างๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ

   ตามกฎขององค์การการค้าโลก การกีดกันการค้าไม่สามารถทำได้ แต่บรรดาประเทศตะวันตกทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ต่างมีวิธีการที่จะสร้างกลไกใหม่ๆ ขึ้นมากีดกันการค้า ซึ่งเรียกว่าเป็นการกีดกันในเชิง "เทคนิค" โดยวิธีการที่นิยมก็คือการตั้งมาตรฐานด้านความปลอดภัย ด้านสุขอนามัย เอาไว้สูงมากเกินกว่าประเทศเจ้าของสินค้าจะปฏิบัติตามได้ หรือหากจะปฏิบัติตามให้ได้มาตรฐานก็ต้องลงทุนเพิ่มอีกมาก ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นไปอีก นอกจากนี้ปัญหายอดนิยมอีกอย่างหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมากีดกันสินค้าจากจีน ก็คือการกล่าวหาเรื่องการใช้แรงงานโดยละเมิดกติกาสากล เช่น การอ้างเรื่องการใช้แรงงานเด็ก การจ่ายค่าจ้างต่ำกว่ามาตรฐาน

   เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทผลิตรองเท้าของจีน 1,200 แห่ง ที่ถูกสหภาพยุโรป (อียู) เก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด โดยอ้างข้อหาว่าขายสินค้าราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ได้พากันถอดใจในการใช้กระบวนการทางกฎหมายต่อสู้กับอียู เพราะเห็นว่ามีค่าใช้จ่ายสูง สิ่งที่บริษัทเหล่านี้ทำได้ก็คือพากันไปหาตลาดส่งออกอื่นแทน มีเพียง 4 บริษัทเท่านั้นที่จะขอต่อสู้เพราะเห็นว่าสิ่งที่อียูทำไม่ยุติธรรม และยังไม่เป็นไปตามกฎขององค์การการค้าโลก และยังไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาของอียูด้วย เพราะอียูเรียกเก็บภาษีดังกล่าวโดยไม่เปิดโอกาสให้บริษัทที่ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงเลย

  เชื่อว่าจีนจะยังเผชิญกับการถูกกีดกันทางการค้าต่อไป พร้อมๆ กับการถูกจับตาในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของโลก ซึ่งย่อมสร้างความไม่สบายใจให้กับโลกตะวันตกที่มองมาอย่างหวาดระแวง แต่การกำลังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ (ใหม่) ของโลกและของเอเชีย จีนก็ต้องแลกด้วยความสูญเสียหลายอย่าง โดยเฉพาะผลกระทบต่อคนในชนบทที่ส่วนหนึ่งต้องทิ้งนาไร่ มาหางานทำในเมือง

  ที่สำคัญความเติบโตของเศรษฐกิจอย่างมากนั้นพิสูจน์ชัดว่าไม่ได้กระจายรายได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม

 

ย้อนกลับ:::

 

 

 

 

           

ที่มา :นสพ มติชน  3 มกราคม พ.ศ. 2550

ปีที่ 29 ฉบับที่ 1052

       

 

หน้าหลัก    แนะนำสถาบัน    การศึกษายุทธศาสตร์และผลงานวิจัย    ข้อมูลรายสินค้า   แผนผังเว็บไซต์    ติดต่อสถาบัน    สำหรับเจ้าหน้าที่

 

สถาบันยุทธศาสตร์การค้า

อาคาร 20 ชั้น 5 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  ถนนวิภาวดีรังสิต  ดินแดง กรุงเทพฯ 10400

โทรศัพท์ 02-692-3162-3 โทรสาร 02-692-3161

E-mail: [email protected]  

 Last updated: 05-Feb-2008.