ข้าวเหนียวเป็นที่นิยมบริโภคอย่างกว้างขวางในประเทศ
และเป็นอาหารหลักของประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ นอกจากการบริโภคโดยตรงแล้วยังมีการนำข้าวเหนียวมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตสุราพื้นเมือง
การผลิตแป้งข้าวเหนียวเพื่ออุตสาหกรรมอาหารและขนมขบเคี้ยว
อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าสนใจคือ
การขยายตัวของโรงงานผลิตอาหารที่ใช้แป้งข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบ
โดยเฉพาะโรงงานผลิตอาหารญี่ปุ่นแช่แข็ง เช่น ขนมโมจิ
เกี๊ยวซ่า เป็นต้น
ซึ่งเน้นผลิตเพื่อการส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น
เนื่องจากแนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น
ความต้องการอาหารที่มีความนุ่มและพร้อมรับประทานไม่ยุ่งยากในการเตรียมจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
การขยายตัวของการผลิตอาหารญี่ปุ่นแช่แข็งเพื่อการส่งออกนี้ส่งผลให้ความต้องการข้าวเหนียวเพื่อเป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้นด้วย
รวมทั้งยังมีผลต่อการพัฒนาพันธุ์ข้าวเหนียวเพื่อให้มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการ
โดยผู้ประกอบการมีการคัดเลือกพันธุ์และส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก
นับว่าเป็นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวและสร้างยังเป็นการขยายตลาดข้าวเหนียวในประเทศอีกด้วย
ตั้งแต่ต้นปี 2549
ราคาข้าวเหนียวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อันเป็นผลมาจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ปริมาณการส่งออกข้าวเหนียวและผลิตภัณฑ์ในช่วง 9
เดือนแรกของปี 2549 เท่ากับ 308,277 ตัน มูลค่า 4,653
ล้านบาท
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ
27.9 และร้อยละ 38.8 ตามลำดับ คาดว่าในปี 2549
นี้ทั้งปริมาณและมูลค่าการส่งออกข้าวเหนียวและผลิตภัณฑ์ของไทยจะเพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์
คาดว่าปริมาณการส่งออกทั้งปี 2549 เท่ากับ 480,000 ตัน
มูลค่า 7,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2548
แล้วทั้งปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.0
และร้อยละ 38.5 ตามลำดับ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี
2549
มูลค่าการส่งออกข้าวเหนียวไปยังตลาดจีนเพิ่มขึ้นถึงเกือบ
5 เท่าตัว กล่าวคือ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549
มูลค่าการส่งออกข้าวเหนียวไปจีนเท่ากับ 945.9 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วเพิ่มขึ้นถึง
4.8 เท่าตัว
เนื่องจากจีนต้องการข้าวเหนียวเพื่อเป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยวและเหล้าสาเก
โดยการส่งออกข้าวเหนียวไปยังตลาดจีนเริ่มพุ่งขึ้นมาตั้งแต่ปี
2547 ซึ่งนับเป็นปีแรกที่จีนแซงหน้ามาเลเซีย
อินโดนีเซียและสหรัฐฯ
ซึ่งเคยครองสัดส่วนการส่งออกข้าวเหนียวของไทยสามอันดับแรก
ตลาดส่งออกข้าวเหนียวของไทยที่มีความสำคัญอันดับรองลงมาคือ
มาเลเซีย อินโดนีเซีย สหรัฐฯ และไต้หวัน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนำเข้าข้าวเหนียวเพื่อบริโภคโดยตรงของบรรดาแรงงานไทยที่เข้าไปทำงานและประกอบธุรกิจในประเทศต่างๆ
ตลาดที่น่าสนใจในการขยายการส่งออกข้าวเหนียว คือ
ประเทศต่างๆในตะวันออกกลาง
โดยในปัจจุบันการส่งออกข้าวเหนียวไปยังประเทศเหล่านี้ยังมีมูลค่าไม่มากนัก
แต่มีอัตราการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์สูง
นอกจากนี้การส่งออกปลายข้าวเหนียว
แป้งข้าวเหนียวและสตาร์ชจากข้าวเหนียวก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย
ความต้องการข้าวเหนียวที่เพิ่มขึ้นทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออกส่งผลให้ราคาข้าวเหนียวในปี
2549 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ
ราคาเฉลี่ยข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวที่เกษตรกรขายได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน
2549 พุ่งขึ้นไปเป็นตันละ 9,746 บาท
จากที่เคยอยู่ในระดับตันละ 6,093 บาทในเดือนมกราคม 2549
และขยับเพิ่มขึ้นเป็นตันละ 8,062 บาทในเดือนกรกฎาคม 2549
คาดว่าราคาเฉลี่ยข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวที่เกษตรกรขายได้ในเดือนธันวาคม
2549 มีแนวโน้มจะแตะที่ตันละ 10,000 บาท
เนื่องจากความต้องการข้าวเหนียวทั้งในประเทศและส่งออกยังคงเพิ่มขึ้น
ในขณะที่ผลผลิตข้าวเหนียวในปี 2549/50
นั้นเพิ่มขึ้นไม่มากนัก คาดว่าตลอดทั้งปี 2550
ราคาข้าวเหนียวจะยังอยู่ในเกณฑ์สูง
ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรขยายการปลูกข้าวเหนียวในปี
2550/51
รวมทั้งยังมีปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลร่วมมือกับภาคเอกชนในการเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออกข้าวเหนียวและผลิตภัณฑ์
โดยการพัฒนาพันธุ์ข้าวเหนียวเพื่อให้มีผลผลิตคุณภาพตรงกับความต้องการทั้งเพื่อบริโภคโดยตรงและความต้องการของโรงงานอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากขึ้น
นับว่าจะเป็นการผลักดันการส่งออกข้าวเหนียวและผลิตภัณฑ์ต่อไปในอนาคต
ย้อนกลับ::
|