ปูนใหญ่เดี้ยงสูญ7หมื่นล้าน ลูกจ้างหนีกลับบ้านนอกทำนา SMEรุมสินเชื่อทะลุ3หมื่นล้าน
"ปูนใหญ่" อาการหนัก ยอดขายทั้งปีทรุดแน่ 25% จากเดิมตั้งเป้าวูบแค่ 10% สูญกว่า 7 หมื่นล้าน เจอธุรกิจ "ปิโตรเคมี-กระดาษ" ตัวฉุด สอท.เผยออเดอร์อุตสาหกรรมยังหดต่อเนื่องอีก 30% ดัชนีติดลบไม่หยุด ลูกจ้าง 2 หมื่นหนีกลับบ้านนอกทำนา อ่วมเงินเดือนไม่พอกินโดนตัดโอทีเกลี้ยง ด้านแบงก์ชาติคาดเอสเอ็มอีแห่ขอค้ำประกันสินเชื่อ บสย.ทะลุ 3 หมื่นล้าน
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยอดขายรวมทั้งปี 2552 แนวโน้มลดลง 20-25% จากปีก่อนอยู่ที่ 2.9 แสนล้านบาท เนื่องจากช่วงไตรมาส 1 มียอดขายรวม 5.5 หมื่นล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 30% เพราะราคาขายผลิตภัณฑ์ของธุรกิจเคมีภัณฑ์และธุรกิจกระดาษลดลง แต่ยังหวังยอดขายไตรมาส 4 จะกลับมาฟื้นอีกครั้ง โดยเริ่มเห็นสัญญาณที่ดี โดยเฉพาะจีนและสหรัฐอเมริกาที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว นอกจากนี้ หากการเมืองนิ่งก็จะทำให้ความเชื่อมั่นดีขึ้น และล่าสุดมีข่าวไข้หวัดเม็กซิโกยิ่งตอกย้ำภาคการท่องเที่ยวมากขึ้น
ทั้งนี้ ยอดขายรวมของธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีช่วงไตรมาส 1 อยู่ที่ 21,591 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 42% แต่มีกำไรสุทธิ 2,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขาดทุน สต็อก, ธุรกิจกระดาษ มียอดขาย 9,691 ล้านบาท ลดลง 21% เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่อิงการส่งออกเป็นหลัก ส่วนธุรกิจกลุ่มซีเมนต์ 12,373 ล้านบาท ลดลง 3% เพราะปริมาณขายภายในประเทศและการส่งออกลดลง
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวว่า ปัจจุบันแรงงานกว่า 1-2 หมื่นคน ได้ลาออกจากงาน เพราะผู้ประกอบการลดเวลาทำงานล่วงเวลา (โอที) ลดเงินเดือนและลดวันทำงานตามคำสั่งซื้อที่ลดลงเฉลี่ย 30% ส่วนใหญ่เป็นภาคชิ้นส่วนยานยนต์ สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากรายได้จากค่าโอทีของพนักงานมากกว่าเงินเดือนประจำ ส่งผลให้รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายในภาวะค่าครองชีพสูง ทั้งค่าเช่าบ้าน อาหาร ค่าเลี้ยงดูบุตร เบื้องต้นผู้ลาออกหลายรายกลับไปทำไร่ทำนาในต่างจังหวัด
อย่างไรก็ตาม หลายบริษัทช่วยเหลือแรงงานจำนวนมาก โดยชะลอการเลิกจ้าง แต่อีกจำนวนมากจำเป็นต้องลดค่าใช้จ่ายเพื่อประคองธุรกิจ เบื้องต้นอยากให้ผู้ประกอบการที่ยังมีกำลังทรัพย์หรือสภาพคล่องไม่ทอดทิ้งแรงงานเหมือนบริษัทจากญี่ปุ่นที่ดูแลพนักงานอย่างเต็มที่
ด้านนายอาทิตย์ วุฒิคะโร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือน มี.ค.52 ยังติดลบ 17.74% แต่เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นเป็นเดือนที่ 2 เทียบเดือน ม.ค.ติดลบ 25.6% และส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือน มี.ค.อยู่ที่ 54.46% เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.พ.อยู่ที่ 50%
สำหรับไตรมาส 2 คาดอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าเริ่มสั่งซื้อสินค้าต่อเนื่อง รวมทั้งปริมาณสินค้าคงคลังในหลายอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ต่ำทำให้หลายอุตสาหกรรมเริ่มผลิต เพื่อรักษาสภาพสินค้าคงคลัง
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ผลการสำรวจไม่เป็นทางการของ ธปท.ต่อความต้องการค้ำประกันสินเชื่อธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ผ่านธนาคารพาณิชย์ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เบื้องต้นคาดว่าความต้องการสูงกว่าวงเงินรวมที่ตั้งไว้ 30,000 ล้านบาท ซึ่ง ธปท.อาจเข้าหารือกับรัฐบาลเพื่อขยายวงเงินค้ำประกัน
นอกจากนั้น ธปท.ต้องขอความชัดเจนจากรัฐบาล โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะได้รับอนุมัติวงเงินเมื่อใด ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการอยู่ระหว่างจัดกลุ่มลูกค้าเพื่อเสนอ บสย.ซึ่งคาดว่าในช่วงเดือน พ.ค.ยอดการขอค้ำประกันสินเชื่อจะสูงขึ้น เมื่อเทียบกับเดือน เม.ย.ที่มีธนาคารกรุงเทพเพียงแห่งเดียวที่ยื่นรายชื่อลูกค้ามา
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 30 เมษายน 2552
|