ท่องเที่ยวไม่วิกฤติ..แต่เสียโอกาส
"การท่องเที่ยว" เป็นอีกธุรกิจที่ทำรายได้หลักเข้าประเทศ แต่ช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยซบเซาอย่างเห็นได้ชัดจากผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจโลกและปัญหาการเมืองภายในประเทศ แต่หลังจากรัฐบาลประกาศยกเลิกการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ความหวังของธุรกิจท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง
แต่ปัญหาที่การเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวไทยไม่ยั่งยืนเป็นเพราะเหตุใด ข้อคิดเห็นจาก กงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย น่าสนใจไม่น้อย
0 ประเมินภาพรวมท่องเที่ยวในขณะนี้
ได้ประเมินไว้ว่าท่องเที่ยวเจอ 3 เหตุการณ์ คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งผลตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 เดือน ก.ค. ส.ค. ก.ย. ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มติดลบ 2-3% ซึ่งเป็นครั้งแรก ในขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วง 6 เดือนแรกในปีที่แล้วจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติถึง 10% โดยเฉลี่ยต่อปีนักท่องเที่ยวจะเพิ่มในอัตรา7%
ต่อมาเกิดเหตุการณ์ขัดแย้งกันประมาณปลายไตรมาสที่ 3 ตั้งแต่การชุมนุมที่สะพานมัฆวานรัฐสภา ปิดสนามบิน มาตั้งแต่ไตรมาส 3 ต่อ 4 เดือน ก.ย. ต.ค. พ.ย.สรุปว่าทำให้ไตรมาส 4 ติดลบมากขึ้นไปใหญ่ สุดท้ายตัวเลขนักท่องเที่ยวรวมทั้งปีติดลบ 2% จากที่ครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมาดีมากๆ แสดงว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังติดลบไปพอสมควรและพอมาไตรมาสแรกในปีนี้ก็คาดว่าจะติดลบต่อเนื่อง โดยจากประมาณการณ์ของผู้ประกอบการคิดว่า ลบ 25% และจะค่อยๆ ดีขึ้นในไตรมาส 2 ของปีนี้ เดือน เม.ย. พ.ค.และมิ.ย.น่าจะฟื้นจากตัวเลขที่ติดลบเยอะๆ จาก 25% ก็เหลือ 15 %
แต่มุมกลับ เพราะ เม.ย. ต้นไตรมาส 2 กลับมาเจอเหตุการณ์จลาจลเข้ามาซ้ำเติมไปอีก ทำให้ตัวเลขน่าจะทรุดกว่าไตรมาสแรก คาดว่าตัวเลขน่าจะติดลบกว่า 40% แต่ถ้าเหตุการณ์สงบแล้วก็ ค่อยๆ ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นได้ในไตรมาส 3 ตัวเลขติดลบก็จะแผ่วลง อาจจะเหลือ 20-25% และไตรมาสสุดท้ายถ้าเราทำงานกันหนักก็น่าจะเป็นบวก 10% โดยสาเหตุที่เป็นบวกเพราะว่าปลายปีที่แล้วตัว เลขนักท่องเที่ยวติดลบจากการปิดสนามบินโดยภาพรวมทั้งปี คาดว่านักท่องเที่ยวจะหายไป 20-22% จาก 14.1 ล้านคน น่าจะเหลือใกล้ๆ 11 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ยังมีผลเรื่องราคาเข้ามาอีกเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลก ประเทศคู่แข่งขันการท่องเที่ยวในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ต่างลดราคาเราก็ต้องลดตาม โดยภาพรวมทั้งปีน่าจะลด 12-15% รวมจำนวนนักท่องเที่ยวและมูลค่าน่าจะลดลง 30-35% คาดว่ามูลค่ารายได้นักท่องเที่ยวต่างประเทศน่าจะเหลือ 3.5 แสนล้านบาท จาก 5.4 แสนล้านบาท แต่ไทยยังมีรายได้จากคนไทยเที่ยวไทยปีละประมาณ 4 แสนล้านบาท น่าจะเข้ามาช่วยพยุง
0 การที่รัฐบาลยกให้ท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติพอเห็นแนวทางที่จะทำให้ธุรกิจฟื้นขึ้นมาได้มั้ย
อย่างน้อยที่สุดก็มีผลจิตวิทยาต่อทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐบาล ภาคข้าราชการที่จะเข้ามาเกื้อหนุนให้นโยบายของรัฐบาลสัมฤทธิ์ผล รวมทั้งภาคผู้ประกอบการอย่างน้อยก็มีขวัญกำลังใจ มีความหวัง มีเป้าหมาย มีกำลังที่จะต่อสู้ และก็เชื่อว่าเป็นพันธะของรัฐที่จะเข้ามาดูแลท่องเที่ยวอย่างแท้จริง เพราะรัฐเป็นผู้ประกาศ และก็เชื่อว่านายกฯ อภิสิทธิ์ ก็คงจะตั้งใจเข้ามาดูแลอย่างแท้จริง ซึ่งมั่นใจเป็นผลบวกต่อ
0 การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลต่อนักท่องเที่ยวจนเห็นได้ชัด หรือเป็นผลสะสมจากเหตุการณ์การเมืองไม่ดีมาก่อนหน้านี้
เป็นผลประกอบกัน ความไม่มั่นคงปลอดภัยจนเกิดจลาจล ข่าวที่ออกไปรุนแรงกลบกระแสพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่หลายประเทศก็เห็นว่า การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นสัญญาณว่าในประเทศยังไม่มีความปลอดภัย
จริงๆ ตรงนี้มีสาเหตุคงมาจากความรุนแรง แต่สัญญาณที่บอกว่ามีความรุนแรง คือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพราะฉะนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง แต่เป็นตัวหนึ่งที่ส่งสัญญาณว่าความรุนแรงยังมีอยู่ เพราะฉะนั้น ได้เรียนท่านนายกฯ ไปว่า ความมั่นคง ปลอดภัย ความสงบสุข มาเป็นอันดับหนึ่ง พ.ร.ก.เป็นอันดับ 2 เพราะถ้าท่านมั่นใจว่าปลอดภัยก็ยกเลิก แต่ถ้าท่านยังไม่มั่นใจก็อย่าเพิ่งยกเลิก เพราะว่าไม่มีประโยชน์อยู่ดี
หลังจากนี้เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น ถ้าสถานการณ์เริ่มนิ่งแล้วก็จะเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยในรัฐสภา มีการยกเลิกประกาศก็แสดงว่ารัฐบาลมั่นใจในความปลอดภัยแล้ว ต่อไปนี้ภาครัฐ เอกชนต้องทำการแก้ไขภาพลักษณ์ของประเทศ และทำการตลาดร่วมกัน
สิ่งแรกที่ต้องเริ่ม ตั้งแต่การประชาสัมพันธ์ สร้างภาพลักษณ์ ทำความเข้าใจขอให้ 20 กว่าประเทศยกเลิกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยทั้งหมด 2.ออกไปทำการขายโรดโชว์ เจอผู้ประกอบการต่างประเทศ 3.ทำโปรโมชั่น มาตรการส่งเสริมการขายที่เป็นขั้นรุนแรง อาจจะต้องจัดแพ็กเกจราคาพิเศษร่วมมือกันทั้งประเทศในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เหมือนออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซียที่เจอวิกฤติเศรษฐกิจ ก็ได้ทำแพ็กเกจร่วมกับสายการบิน บริษัทนำเที่ยว ศูนย์การค้า สถานที่ท่องเที่ยว เอกชน จัดแพ็กเกจราคาถูกแล้วมาโฆษณาในหนังสือพิมพ์ในบ้านเรา ซึ่งประเทศไทยยังไม่เคยทำใหญ่ขนาดนี้ ครั้งนี้ก็อาจเป็นส่วนหนึ่งในการทำตลาด
0 ถ้าเทียบภูมิภาคเอเชีย การท่องเที่ยวไทยเด่นสุดหรือเปล่า
จริงแล้วในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโตเฉลี่ย 8% ไทยอยู่ 6-7% ซึ่งต่ำกว่าค่าตัวเฉลี่ย โดยประเทศจีน เวียดนาม มาเลเซีย มีอัตราเร่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย ไทยเสียศักยภาพด้านการแข่งขันมานานนับ 5-10 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นในตอนนึ้คงเป็นเรื่องในระยะ 3-5 ปี ถ้ารัฐบาลนิ่งก็ควรเข้าจะมาดูแล นอกเหนือจากการขายในตลาด สร้างศักยภาพเพิ่มสมรรถนะทางการแข่งขันในระยะยาวด้วย
0 ที่ผ่านมาปัญหาการเมืองส่งผลกระทบต่อท่องเที่ยวชัดเจนที่สุด
คิดว่าปัญหาการเมืองใหญ่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยไม่ค่อยดูการจัดสรรงบประมาณมาเพื่อการพัฒนาขีดความสามารถทางด้านการท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เราเน้นขายแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่เคยพัฒนาทางด้านอุปทาน หาแต่อุปสงค์ คือหานักท่องเที่ยวเข้า เราเน้นตรงนี้มากเกินไป จนประเทศไทยขาดการจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว การพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ ขาดการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานผู้ประกอบการ ซึ่งไม่ได้ดูแลเลย ตรงนี้ประเทศไทยไม่เคยพูดถึง เนื่องจากเป้าหมายการท่องเที่ยวของรัฐบาลส่วนใหญ่จะพูดถึงรายได้กับจำนวนนักท่องเที่ยว โดยไม่ได้พูดถึงตรงนี้
ตรงนี้ผมมองว่าจำเป็นแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องเข้ามาดู เพราะว่าขีดความสามารถของเราเริ่มสูญเสีย แพ้ต่างประเทศ เพราะไม่เข้ามาดูนโยบายเรื่องการพัฒนา ดูแต่ยอดขาย
0 มาตรการที่เอกชนรอความช่วยเหลือจากรัฐบาล หรือรัฐบาลอนุมัติแล้ว แต่ยังไม่ได้ใช้เต็มที่
มาตรการที่รัฐบาลออกมาช่วยตั้งแต่ปิดสุวรรณภูมิก็มีหลายมาตรการ เช่น ลดค่าธรรมเนียมวีซ่า ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการที่นำนักท่องเที่ยวเข้ามามีต้นทุนถูกลง ให้บริษัทธุรกิจเอกชนในประเทศจัดประชุมสัมมนาที่ต่างจังหวัด โดยนำค่าใช้จ่ายตรงนี้สามารถนำไปลดภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 2 เท่า ตรงนี้ก็ยังไม่ออกมาในระเบียบปฏิบัติจนจะหมดปีงบประมาณ เพราะฉะนั้นหลายๆ มาตรการที่จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวก็ยังไม่ออกมา
หรือจะเป็นมาตรการเยียวยาช่วยเหลือทางด้านสินเชื่อ ก็เป็นเรื่องดี แต่ควรเข้าไปดูรายละเอียดของการปล่อยสินเชื่อ ที่มีกระบวนการขั้นตอนอาจจะยาวเพราะเป็นเงื่อนไขพิเศษ ขนาดเงื่อนไขปกติก็ยากอยู่แล้ว เงื่อนไขพิเศษก็ยากกว่าปกติ ผู้ที่ขอสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีปัญหา ดังนั้น โอกาสที่จะได้รับสินเชื่อจึงมีน้อย
0 ตลาดต่างประเทศที่จะเข้าไปกระตุ้นและดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาไทย
ตอนนี้จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี ไต้หวัน ตกไปหมดเลย ซึ่งตลาดเอเชีย รวมอินเดีย ออสเตรเลีย เอเชีย 8.5 ล้านคน คิดเป็น 60% จากนักท่องเที่ยวที่มีอยู่ 14 ล้านคน เพราะฉะนั้นเลยมีผลกระทบจำนวนมาก ทำตลาดตอนนี้ก็คงมาฟื้นเอเชีย ตลาดใหม่ๆ อย่าง อินเดีย รัสเซีย
0 แต่ของเราขาดบุคคลากรด้านท่องเที่ยวที่จะเข้าไปเจาะตลาด
ไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่ดี มีผู้ประกอบการที่เข้มแข็ง ผมคิดว่าการตลาดบ้านเราใช้ได้ แต่ขาดความต่อเนื่องในเชิงนโยบาย เพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยมาก ในเรื่องเชิงพัฒนาไม่มี มีแต่เรื่องการขาย ซึ่งเป็นระยะสั้น โดยไม่มีใครเข้าดูแผนระยะกลางกับระยะยาว ดูแต่ช็อตเทอม
ผู้ประกอบการสนใจแผนระยะยาวอยู่แล้ว โดยภาครัฐมีหน้าที่ดูแผนระยะกลางและระยะยาว ซึ่งตอนนี้เราไม่มีมาสเตอร์แพลนว่าการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต้องใช้เงินเท่าไร สมมุติแผนจราจร วางแผนเส้นทางรถไฟฟ้านับ 10 ปีกว่าจะได้ แต่ละเส้นแต่ละสายหาแหล่งที่ไหน คุ้มทุนยังไง ท่องเที่ยวไม่มีคนคิดอย่างนี้ ท่องเที่ยว เป็นเส้นเลือดใหญ่ แต่ไม่มีคนดูในภาพใหญ่ มันก็เลยเละ
0 ธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ในสถานะวิกฤติหรือเปล่า
ไม่ถึงวิกฤติ แต่ถ้าไม่ทำอะไรก็จะสูญเสียโอกาส เสียสภาพการแข่งขัน ตอนนี้จีนพัฒนาด้านท่องเที่ยวดีกว่าบ้านเรา ประเทศไทยยุ่งไปหมด เพราะระบบการจัดการบ้านเรายังขาด จริงแล้วเราสามารถสร้างโอกาสเพื่อสร้างรายได้อีกมาก น่าเสียดายโอกาส น่าจะขยับได้สูงกว่านี้ นักท่องเที่ยว 14 ล้านคน แต่น่าขยับได้ถึง 20 ล้านคนได้สบายๆ ไม่มีใครคิดขยับในฐานใหญ่ก็เพิ่ม 6-7% ต่อปี ขณะที่จีนภายในระยะเวลา 20 ปี มีนักท่องเที่ยว 50 ล้านคนเป็นไปได้ยังไง มาเลเซียก็มีแหล่งท่องเที่ยวเรียบร้อยกว่าเรา เวียดนามมีอัตราเร่งสูงประเทศไทยไม่ต่อเนื่อง ไม่มีแผนระยะยาว
0 สถานการณ์ท่องเที่ยวในขณะนี้ ทำให้ภาคธุรกิจเหนื่อย
ประเทศไทยยังโชคดีที่ยืดหยุ่น ปรับตัวได้เร็ว แต่ไม่มีครั้งไหนที่เรามีวิกฤติขัดแย้งยาวนานจนส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเหมือนครั้งนี้ จนผู้ประกอบการรู้สึกว่าได้รับผลกระทบนานที่สุด อย่างพฤษภาทมิฬ อาทิตย์เดียวเรื่องก็จบ 14 ตุลาก็ใช้เวลาไม่นาน ปฏิวัติก็ไม่มีผลต่อการท่องเที่ยว เพราะไม่มีความรุนแรง แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ 6 เดือนยังไม่เลิกเลย และไม่รู้จะเลิกจริงหรือเปล่า ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ท่องเที่ยวที่เป็นเช่นนี้
สภาพคล่องของเอกชนสำคัญ ไม่มีธุรกิจไหนหรอกที่จะอยู่ในภาวะอย่างนี้ได้นานๆ ถ้าปัญหามาจากเศรษฐกิจโลก เรายังสามารถดึงเกมได้ นักท่องเที่ยวก็ยังเดินทางเข้ามา
ปีหน้าถ้าบ้านเราสงบสุข นักท่องเที่ยวก็น่าจะกลับมาอยู่ในฐานเดิม 14 ล้านคน เหมือนในช่วงสึนามิ ที่นักท่องเที่ยวหายไป 8-9% ในปีต่อมา พอหลังจากนั้นอีกหนึ่งปีนักท่องเที่ยวก็เพิ่มเป็น 16-17% ถ้าเราทำได้ดี นักท่องเที่ยวก็จะกลับบมา โดยปัจจัยที่ควรแก้ไขคือ การขัดแย้งทางการเมืองที่ก่อความรุนแรง
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพต์ ฉบับวันที่ 27 เมษายน 2552
|