พาณิชย์เตือนผู้ส่งออกรีบใช้ประโยชน์จาก
JTEPA หลังพบญี่ปุ่นเร่งเจรจาเปิดเสรีการค้ากับเวียดนาม
คาดมีผลใช้บังคับกลางปี 2551 ด้าน "วินิจฉัย" เผยความคืบหน้า FTA
อาเซียน-ญี่ปุ่น เหลืออีก 2 ประเด็น แหล่งกำเนิดสินค้าสิ่งทอ-ระยะเวลาการใช้มาตรการปกป้อง
หวั่นทำให้การเจรจาอาเซียน-ญี่ปุ่นลากยาว
ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA)
กำลังจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
และคาดว่าสินค้าไทยหลายรายการจะได้ประโยชน์จากความตกลงนี้ อย่างไรก็ตาม
ช่วงเวลาที่ภาคอุตสาหกรรมไทยจะได้ "แต้มต่อ"
อาจจะไม่นานอย่างที่คาดกันไว้
เนื่องจากญี่ปุ่นกำลังเร่งเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีกับอาเซียน
และทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเวียดนาม-ญี่ปุ่น
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า
ขณะนี้ความคืบหน้าในการเจรจาเอฟทีเอระหว่างญี่ปุ่น-เวียดนาม
มีความเข้มข้นมาก
เพราะทั้งสองประเทศมุ่งหวังที่จะให้การเจรจาดังกล่าวสิ้นสุดลงภายในเดือนธันวาคม
2550 แม้ว่าจะเพิ่งเจรจาไป 3-4 รอบ
โดยญี่ปุ่นมีเป้าหมายที่จะขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และโลจิสติกส์
หากญี่ปุ่นและเวียดนามสามารถสรุปข้อตกลงเอฟทีเอได้ภายในสิ้นปีนี้
หลังจากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการทางรัฐสภา
และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณกลางปี 2551
ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทยในบางสินค้า เช่น เครื่องนุ่งห่ม
เพราะผู้ประกอบการไทยรายใหม่จะเข้าทำตลาดในญี่ปุ่นคงต้องใช้เวลา 6-8
เดือนนับจากที่ JTEPA มีผลบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายน 2550
เท่ากับว่าไทยจะสามารถใช้ประโยชน์จาก JTEPA ได้ในเดือนพฤษภาคม 2551
หรือก่อนความตกลง เอฟทีเอไทย-เวียดนามแค่ 1 เดือน
"ขณะนี้ทราบว่าญี่ปุ่นและเวียดนามมีปัญหาในเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าของสินค้าเครื่องนุ่งห่มเช่นกัน
ซึ่งประเด็นนี้อาจจะทำให้การเจรจายืดเยื้อออกไปได้
อย่างไรก็ตามภาคเอกชนไทยควรจะเร่งรีบศึกษาและหาทางใช้ประโยชน์จาก JTEPA
ให้เร็วที่สุด
เพื่อที่จะเข้าไปเจาะตลาดญี่ปุ่นให้ได้ก่อนที่คู่แข่งรายสำคัญอย่างเวียดนามจะเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีกับญี่ปุ่นสำเร็จ
ทั้งนี้ญี่ปุ่นจะได้ประโยชน์จากการเข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในเวียดนาม
รวมทั้งเข้าไปลงทุนระบบโลจิสติกส์
ขณะที่เวียดนามจะได้ประโยชน์จากการส่งออกสินค้าเครื่องนุ่งห่มไปญี่ปุ่น"
แหล่งข่าวกล่าว
ด้านนายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการเจรจาจัดทำข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่นว่า
จะต้องได้ข้อสรุปในการเจรจาครั้งต่อไปซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-6
พฤศจิกายนนี้ ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์
และจะต้องรายงานต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กำลังจะเริ่มขึ้นในวันที่
22 พฤศจิกายนนี้
จากเดิมมีกำหนดจะต้องสรุปผลการเจรจาตั้งแต่การประชุมครั้งที่ผ่านมา
แต่ยังมีประเด็นที่ตกลงไม่ได้ 2 เรื่อง คือ
แหล่งกำเนิดสินค้าส่วนใหญ่จะคล้ายในเอฟทีเอที่ญี่ปุ่นเจรจาในระดับทวิภาคีกับประเทศในอาเซียน
โดยประเด็นที่ยังสรุปไม่ได้ คือ การใช้แหล่งกำเนิดแบบเฉพาะสินค้า หรือ
product specific rules เช่น สิ่งทอ-เครื่องนุ่งห่ม
ที่ญี่ปุ่นเสนอต้องการให้ใช้ระบบ 2-step (นับตั้งแต่ผ้าผืน)
ซึ่งประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่รวมทั้งไทย ที่มีการผลิตขั้นต้นน้ำ-กลางน้ำในประเทศก็ยอมรับระบบนี้ได้
มีเพียงเวียดนาม และกัมพูชา ที่ต้องการให้ใช้ระบบ 1-step
เพราะทั้งสองประเทศไม่มีการผลิตขั้นต้นน้ำ เช่น ผ้าผืน เส้นด้าย
ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง คือ มาตรการปกป้อง (safeguard) อาเซียนเห็นว่า
เมื่อลดภาษีเป็น 0% ไปแล้วภายใน 10 ปี ผู้ประกอบการคงจะปรับตัวได้
และควรหันไปใช้มาตรการปกป้องในองค์การการค้าโลก (WTO) แทน
แต่ญี่ปุ่นต้องการให้มีมาตรการปกป้องเฉพาะในอาเซียน-ญี่ปุ่นตลอดไป
เพราะกังวลเรื่องการทะลักข้าวของสินค้าเกษตร
ซึ่งมีกรอบการลดภาษีมากกว่า
"ญี่ปุ่นคงจะไม่ยอมถอยในสิ่งที่เสนอ
ดังนั้นสมาชิกอาเซียนก็ต้องตัดสินใจ ในส่วนของไทย
มีนโยบายมอบหมายให้เจรจาเพื่อให้ไทยได้ประโยชน์มากขึ้น
ซึ่งประเมินภาพรวมมองว่ามีสินค้า 70-80 รายการ
ที่ไทยได้ประโยชน์มากกว่า JTEPA โดยส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าเกษตร เช่น
ปลาหมึก
และยังมีประโยชน์ในการใช้แหล่งกำเนิดสินค้าแบบสะสมในอาเซียนในการส่งออกไปญี่ปุ่น"
นายวินิจฉัยกล่าว
รายงานข่าวระบุว่า ประเด็นที่เป็นอุปสรรคในการเจรจาข้อตกลงอาเซียน-ญี่ปุ่น
และระหว่างญี่ปุ่น-เวียดนาม เป็นประเด็นเดียวกัน
และถ้าหากได้ข้อสรุปในกรอบของญี่ปุ่น-เวียดนามก่อน
ก็จะเป็นการขยายแต้มต่อในส่วนของเวียดนาม
เพราะส่วนใหญ่แล้วสินค้าที่เวียดนามเสนอขอลดภาษีเป็นสินค้าชนิดเดียวกับไทย
ขณะที่หากผลักดันให้เอฟทีเออาเซียน-ญี่ปุ่นได้ข้อสรุปก่อน
ประโยชน์จะเกิดขึ้นกับประเทศอาเซียนโดยรวมมากกว่า
หน้า 8