JTEPA
อ่อนประชาสัมพันธ์ WIN WIN ลดภาษี 2 ฝ่าย
ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักของไทย และในปลายปี 2550
ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) จะมีผลใช้บังคับ
ทำให้ตลาดญี่ปุ่นกลายเป็นตลาดที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับสินค้าส่ง
ออกไทย
นายโนริฮิโตะ ทะนะกะ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ (HTA) ประจำโอซากา
ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ความเห็นว่า ขณะนี้รัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับให้
JTEPA มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่
1 พฤศจิกายน 2550
แล้ว โดยมองว่าจะช่วยลดอุปสรรคกำแพงภาษีนำเข้า
และทำให้เกิดความเคลื่อนไหวระหว่าง 2 ประเทศมากขึ้น
โดยเฉพาะในภาคการค้าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม
แต่ที่ผ่านมายังมีการประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้น้อย
หากมีการประชาสัมพันธ์จะช่วยให้มีการใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม JTEPA เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
แต่ต้องมีการแลกเปลี่ยนกันอีก เช่น
บริษัทญี่ปุ่นจะส่งเทรนเนอร์มาไทย หรือคนไทยไปสอนชาวญี่ปุ่น
คาดว่าในปี 2008 (2551) JTEPA
จะช่วยให้ไทยและญี่ปุ่นสามารถขยายการค้าได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10
สถานการณ์เศรษฐกิจภายในของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้อสังหาริมทรัพย์
(ซับไพรม) ของสหรัฐ ธนาคารกลางของญี่ปุ่นจึงชะลอการลดดอกเบี้ย
ส่งผลกระทบต่อ อัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เงินเยนปรับแข็งค่าขึ้น
หลังจากนี้อาจจะใช้ระยะเวลาอีก 2-3 ปี จึงจะเห็นผลชัดเจน
เชื่อว่าอย่างเร็วที่สุดในปลายปี 2551
จะเกิดผลกระทบในด้านลบกับเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ซึ่งจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของญี่ปุ่นในปี
2551 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3 ต่ำกว่าที่รัฐบาลคาดไว้ว่า จีดีพี ในปี
2551 จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 3-4 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2550
ที่อยู่ระดับร้อยละ 2.5-3
"การขยายตัวของจีดีพีที่ร้อยละ 3
สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ในภาวะทรงตัว
ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังการบริโภคทำให้ประชาชนชะลอหรือระมัดระวังการใช้จ่ายเพื่อรอดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนของไทยที่ปรับแข็งค่าขึ้นนั้นไม่ใช่ปัญหาการส่งออก
เพราะบาทไทยเคยปรับแข็งค่ากว่านี้
แต่สิ่งที่สำคัญก็คือการรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน
เพราะความผันผวนเป็นสิ่งที่ต้องดูแล" นายทะนะกะกล่าว
แนวโน้มการขยายการลงทุนของญี่ปุ่นในอนาคต 5 ปีข้างหน้า
ญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในตลาดจีนเป็นหลัก
แต่จะมีนโยบายแบบไชน่าพลัสวัน (China +1)
คือมองประเทศอื่นอีกนอกจากจีน เพื่อกระจายความเสี่ยงในด้านการลงทุน
ซึ่งประเทศที่มีศักยภาพที่นักลงทุนมองคือไทยและเวียดนาม
ภาพของไทยในสายตาญี่ปุ่นก็คือมีความใกล้ชิดคุ้นเคย
และไทยมีความสามารถมีการสร้างสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการลงทุน
ดังนั้นไม่ว่าจะเปิดเอฟทีเอกับอาเซียนก็คงไม่มีปัญหา
แต่ที่น่ากลัวมากคือเวียดนามซึ่งในอนาคตมีการออกนโยบายสนับสนุนการลงทุน
ให้สิทธิพิเศษในการลงทุนมากขึ้น
แต่ก็ยังมีจุดอ่อนจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายบ่อยครั้งจนสร้างความไม่มั่นใจในการลงทุน
นายทะนะกะกล่าวถึงประเด็นที่นักลงทุนญี่ปุ่นกังวลว่า
นักลงทุนญี่ปุ่นจับตาการ
ใช้นโยบายปรับแก้ไขกฎหมายภายในประเทศของไทยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะ
การปรับแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจ ของคนต่างด้าว พ.ศ.2542
ว่าอาจจะต้องให้ฝ่ายรัฐบาลหารือกัน เพื่อขอความเห็น
ชอบให้รัฐบาลไทยเปิดโอกาสให้นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาถือหุ้นได้มากกว่า
49% เพราะการปรับนิยามให้เข้มขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาการถือหุ้นแทน (นอมินี)
แต่ญี่ปุ่นต้องการให้ระวังประเด็นการมีสิทธิในการออกเสียง
และการนำเงินมาลงทุนในประเทศ
หน้า 6