ปีหน้าใช้นโยบายเร็ว-ลึก-กระชับมากขึ้น
ทูตพาณิชย์หัวหมุนดันส่งออกโต12%
พาณิชย์คาดเป้าส่งออกปี 2551
เพิ่มขึ้น 12% เน้นเพิ่มสัดส่วนส่งออกไปตลาดใหม่
ทูตพาณิชย์หวั่นสถานการณ์ส่งออกทั่วโลกส่อเค้าเหนื่อย จี้ สคต.จับคู่ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์เสนอแผนกำหนดยุทธศาสตร์ส่งออกปี
2551 ภายใน 2 เดือน ด้านเกริกไกรมอบนโยบาย 7 ด้าน
เน้นการทำงานร่วมกันให้เร็ว-ลึก-กระชับมากขึ้น
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ"
รายงานว่า เมื่อวันที่ 19-20 กันยายนที่ผ่านมา นายเกริกไกร
จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
(สคต.) 56 แห่ง
และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของกระทรวงพาณิชย์ด้านการค้าระหว่างประเทศ
(Honorary Trade Advisor หรือ HTA) จำนวน 44 คน ใน 30
ประเทศทั่วโลก ประจำปี 2550
โดยในวันแรกเป็นการมอบนโยบายด้านการค้าต่างประเทศ
ส่วนวันที่สองเป็นการร่วมกันวางแผนยุทธศาสตร์การส่งออกรายภูมิภาค
ได้แก่ อเมริกา ยุโรป จีน ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เอเชียตะวันออก
และโอเชียเนีย และกลุ่มอาเซียนและเอเชียใต้
นายเกริกไกรเปิดเผยภายหลังการหารือว่า ได้มอบนโยบาย 7
เรื่องให้กับกรมส่งเสริมการส่งออกและ HTA คือ 1)
ช่วยชี้นำผลประโยชน์ร่วมกัน 2 ประเทศ 2)
ผูกโยงธุรกิจไทยกับธุรกิจของประเทศคู่ค้าในกลุ่มที่มีการเอื้อต่อกัน
3) ช่วยวิเคราะห์และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์
นโยบายและอุปสรรคการค้า 4)
ข้อเสนอแนะด้านการเจรจาการค้าเพื่อจัดทำความตกลงเปิดเขตการค้าเสรี
5) ข้อเสนอแนะในการนำกลุ่มบุคคล หรือภาคธุรกิจมาจับคู่ธุรกิจ
เพื่อส่งเสริมการเปิดตลาดการค้า-การลงทุนระหว่างกัน 6)
ส่งเสริมการลงทุนในสาขาที่ไทยสนใจ รวมถึงการลงทุนในประเทศที่สาม
และ 7) จัดทำรายงานสรุปสั้นเสนอกลับมาไทยทุก 2 เดือน
หรือเฉลี่ยเดือนละครั้ง เพื่อเป็นการแจ้งเตือน (early warning)
ให้กับผู้ส่งออก
นายราเชนทร์ พจนสุนทร เปิดเผยเพิ่มเติมว่า
ประเด็นที่ได้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นใน วันที่ 20 กันยายน
ได้มอบหมายให้ HTA ร่วมกับ สคต.ประสานถึงแนวทางในการจัดทำแผนประเมินสถานการณ์
เพื่อนำมาสรุปในอีก 2 เดือนข้างหน้า
ซึ่งแผนนี้จะช่วยในการประมาณการตัวเลขส่งออกปี 2551 ได้
ข้อเสนอ HTA
ญี่ปุ่นเสนอแนวทางการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรีระหว่างไทย-ญี่ปุ่น
(JTEPA) โดย สคต.สหรัฐให้ข้อ เสนอแนะว่า ตลาดสหรัฐเป็นตลาดขนาดใหญ่
ซึ่งมีช่องทางการขายที่แตกต่างกัน
จะทำอย่างไรที่จะให้ผู้ส่งออกไทยตอบสนองได้เร็ว
ด้าน สคต. แอฟริกาใต้เสนอว่า
ต้องการเร่งให้นักธุรกิจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในแอฟริกา
เพราะขณะนี้จีนได้เริ่มไปมากแล้ว โดยเฉพาะในกานาและแอฟริกาใต้
ซึ่งคงจะต้องรอ ให้การจัดตั้ง สคต.ที่เคนยาและไนจีเรียเรียบร้อยจึงจะปรับกิจกรรมตาม
ส่วน สคต.สหภาพยุโรปเสนอให้ไทยรักษาภาพลักษณ์และมาตรฐาน สินค้า
และเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้บริโภค สคต.จีนเน้นให้ไทยโฟกัสสินค้าที่ไทยมีจุดแข็ง
เช่น ข้าวหอมมะลิ
อย่างไรก็ตามแม้กระทรวงพาณิชย์จะยังไม่กำหนดเป้าหมายการส่งออกปี
2551 อย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ไม่น้อยกว่า
12% ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวใกล้เคียงกับ ปีนี้
โดยกระทรวงพาณิชย์ยังคงให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนการส่งออกไปยังตลาดใหม่
อาทิ ตะวันออกกลาง จีน แอฟริกา เอเชียใต้ ยุโรปตะวันออก
ละตินอเมริกา และอาเซียนรวมถึงการผลักดันธุรกิจบริการให้สูงขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สคต.ต่างๆ ได้เสนอแผนส่งเสริมการส่งออกปีหน้า
(target 2008) เบื้องต้น ซึ่งหลายตลาดได้ปรับลดเป้าหมายการส่งออกใน
ปี 2551 ลง
และบางตลาดก็พยายามรักษาเป้าหมายการส่งออกให้ใกล้เคียงกับปีนี้
โดยตลาดสำคัญ ภูมิภาคอเมริกาเหนือ แคนาดา คาดว่าปี 2551
จะขยายตัวร้อยละ 10 จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 9 มูลค่า
1,350.18 ล้านเหรียญสหรัฐ บราซิลขยายตัวร้อยละ 35
จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 30 มูลค่า 820
ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนภูมิภาคยุโรป รัสเซีย ขยายตัวร้อยละ 25
จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 30 มูลค่า 503.53
ล้านเหรียญสหรัฐ อังกฤษขยายตัว ร้อยละ 7
จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 8 มูลค่า 3,674.7
ล้านเหรียญสหรัฐ
ภูมิภาคตะวันออกกลางขยายตัวร้อยละ 19.5
จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 19.7 มูลค่า 7,133.0
ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยประเทศสำคัญที่ขยายตัวสูงคือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ขยายตัวร้อยละ
30 จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 30 มูลค่า 1,916.5
ล้านเหรียญสหรัฐ
ภูมิภาคจีน (กวางเจา) ขยายตัวร้อยละ 22
จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 20 มูลค่า 11,056
ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 7
จากปีนี้ที่ตั้งเป้าว่าจะขยายตัวร้อยละ 10 มูลค่า 18,073.66
ล้านเหรียญสหรัฐ อินเดียขยายตัว ร้อยละ 50
จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 60 มูลค่า 2,885 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนตลาดอาเซียนประเทศที่ส่งออกสำคัญคือ สิงคโปร์ขยายตัวร้อยละ 10
จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6 มูลค่า 8,860 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ที่ประชุมได้กำหนดให้ทุกภูมิภาคมีส่วนร่วมในการผลักดันธุรกิจบริการเพื่อให้ประเทศไทยมีรายได้จากธุรกิจบริการในสัดส่วนที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับการส่งออกสินค้า
(services provider) โดยเฉพาะร้านอาหารไทย
ธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงาม (โรงพยาบาลและธุรกิจสปา)
และการศึกษานานาชาติ
ส่วนธุรกิจบริการใหม่ๆ ที่มี ศักยภาพได้แก่ธุรกิจออกแบบก่อสร้าง
อู่ซ่อมรถยนต์ บันเทิง ตัดเย็บเสื้อผ้า และธุรกิจแฟรนไชส์ และให้
สคต.ได้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศซึ่งจะสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่
ทั้งด้านวัตถุดิบ เทคโนโลยี แรงงาน
ลดความเสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยนและได้ประโยชน์จากส่วนต่างระหว่างราคาเอฟโอบีกับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นประมาณ
5 เท่า
หน้า 6