นโยบาย"ทำให้ต่างชาติเสียคน"บรรลุผล ได้เวลา"จีน"เฉดหัว"ทุนนอก"
ตลอด 3 ทศวรรษแรกของการปฏิรูปเศรษฐกิจ
จีนได้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นการเอาอกเอาใจต่างชาติเป็นพิเศษเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างรวดเร็ว
เพราะรู้ดีว่าเป็น "ทางลัด"
เดียวที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างทันใจ
รัฐบาลจีนจูงใจต่างชาติทั้งด้วยการใช้มาตรการทางภาษีและให้สิทธิประโยชน์นานาชนิด
โดยมีการเลือกปฏิบัติแตกต่างจากบริษัทจีนแท้ๆ
หรือบริษัทท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด เช่นกรณีภาษีนิติบุคคล
เก็บจากบริษัทต่างชาติเพียง 14% แต่เก็บจากบริษัทจีนถึง 24%
ทำให้บริษัทจีนโวยวายมาตลอด
แต่รัฐบาลจีนก็ฉลาดมากพอที่จะปล่อยให้บริษัทท้องถิ่นโวยวาย
เพื่อรอเวลาอันสมควร นั่นคือช่วงที่เศรษฐกิจบูมได้ที่
จากนั้นจึงจะถึงเวลาหันมา "ติดเขี้ยวเล็บ"
และสร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับบริษัทท้องถิ่น
โดยให้บริษัทท้องถิ่นได้มีเวลาค่อยๆ ปรับตัว
ขณะเดียวกันช่วงที่รอคอยนั้นก็มีการเรียนรู้เทคโนโลยี
การบริหารจัดการจากต่างชาติ
เพื่อที่วันหนึ่งจะนำความรู้ความสามารถนั้นกลับมาบริหารบริษัทท้องถิ่นให้ทัดเทียมพร้อมที่จะแข่งขันกับต่างชาติ
เพราะหลังจากจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ)
ในปี 2544 แล้ว
ย่อมมีภาระผูกพันที่จะต้องเปิดการแข่งขันเสรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เวลาที่รอคอยนั้นมาถึงแล้ว
หลังจากเศรษฐกิจจีนขยายตัวในระดับเลขสองหลักติดต่อกันหลายปี
เกินดุลการค้ามหาศาล เฉพาะปีที่แล้วเกินดุลกว่า 1.7
แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ปีนี้คาดว่าจะเกินดุลมากขึ้นไปอีกเป็น 2.5
แสนล้านดอลลาร์
ผลที่ติดตามมาก็คือ "จีน"
มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงที่สุดในโลก 1.3 ล้านล้านดอลลาร์
เป็นสภาพคล่องที่ล้นทะลักอย่างมาก
ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นบูมอย่างน่าเสียวไส้
อัตราการเติบโตสูงจนน่าตกใจ แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาตรการเข้มงวด
ทั้งขึ้นดอกเบี้ย 4 รอบในปีนี้
และสั่งให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มการกันสำรองอีกหลายรอบเพื่อชะลอการเติบโตของสินเชื่อ
แต่ดูเหมือนจะฉุดรั้งไว้ได้ยาก
สิ่งที่น่าห่วงอีกประการหนึ่งก็คือเกิดปัญหาเงินเฟ้อที่สูง 6.5%
ในเดือนที่แล้ว สูงที่สุดในรอบ 10 ปี
ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 กันยายน
ธนาคารโลกได้ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปีนี้จาก
10.4% เป็น 11.3%
ทุนสำรองที่ล้นทะลัก
ทำให้รัฐบาลจีนต้องหาทางระบายเงินเหล่านี้ออกไปนอกประเทศด้วยการตั้งองค์กรขึ้นมาบริหารจัดการเพื่อนำทุนสำรองไปลงทุนหารายได้
องค์กรนี้มีรูปแบบคล้ายบรรษัทการลงทุน "เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์"
ของรัฐบาลสิงคโปร์
ทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงเกินไป
จะส่งผลให้ค่าเงินหยวนแข็งจนกระทบต่อความสามารถในการส่งออก ดังนั้น
นอกจากจะต้องบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศด้วยการระบายออกไปลงทุนนอกประเทศแล้ว
จีนยังต้องหาทางสกัดไม่ให้เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาด้วย
ส่วนอีกขาหนึ่งนั้นก็พยายามส่งเสริมให้จีนมีการนำเข้ามากขึ้น
เปิดทางผ่อนคลายให้เอกชนสามารถไปลงทุนต่างประเทศได้ง่ายขึ้น
กล่าวได้ว่า
เวลานี้จีนไม่ได้ต้องการหรือโหยหาพึ่งพาเงินทุนจากต่างประเทศแบบจะเป็นจะตายอีกต่อไป
แต่ในทางตรงกันข้ามกลับแสดงอาการ "ไล่" เงินทุนต่างชาติโดยอ้อม
ขณะเดียวกันการที่ตลาดส่งออกซึ่งเป็นรายได้หลักและสำคัญที่สุดของจีนเริ่มมีความเสี่ยงเกิดความไม่แน่นอน
โดยเฉพาะภายหลังจากเกิดวิกฤตสินเชื่อบ้านที่ปล่อยกู้แก่ผู้มีเครดิตต่ำกว่ามาตรฐาน
(ซับไพรม์) ในสหรัฐ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก
ทำให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐซึ่งเป็นลูกค้าใหญ่ของจีนจะชะลอลง
หมายถึงว่าสหรัฐจะมีความสามารถในการซื้อสินค้าน้อยลง
ความไม่แน่นอนของตลาดภายนอกดังกล่าว ทำให้รัฐบาลจีนมุ่งหันมาใช้การ
"บริโภคภายใน" เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อลดการพึ่งพาส่งออก
เห็นได้จากการที่ยอดขายค้าปลีกขยายตัวต่อเนื่อง ล่าสุด
เมื่อเดือนสิงหาคมขยายตัวถึง 17.1% เพิ่มจากเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัว
16.4% เฉลี่ย 8 เดือนแรกของปีนี้ค้าปลีกเติบโต 15.7%
ทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญและนักเศรษฐศาสตร์จากเวิลด์
อีโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) เมื่อเร็วๆ
นี้ที่แนะว่าเนื่องจากชาวจีนมีรายได้มากขึ้น มีคนชั้นกลางเพิ่มขึ้น
ดังนั้น จีนควรจะใช้การบริโภคภายในประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เพราะตลาดส่งออกเริ่มมีความไม่แน่นอน
นอกจากนี้การที่เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างมากนั้น
จีนไม่ได้เป็นตลาดที่มีแรงงานถูกในสายตานักลงทุนอีกต่อไป
แต่เป็นตลาดบริโภคหรือผู้ซื้อสินค้าแล้ว
เพราะว่าประชาชนมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง
ต่อมาในการประชุมความร่วมมือเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปค)
ที่ออสเตรเลียเมื่อต้นเดือนกันยายน ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู.
บุช ของสหรัฐ ที่ขาดดุลการค้ากับจีนมหาศาล
ก็พูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า
ชาวจีนควรจะใช้จ่ายให้มากขึ้นเพื่อที่สินค้าจากสหรัฐจะได้ขายได้
ต้องปรับเปลี่ยนจากสังคม "เก็บออม" ไปสู่สังคม "บริโภค"
พร้อมกับกระตุ้นให้รัฐบาลจีนจะต้องจัดสร้าง "ตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม"
(social safety net)
ซึ่งหมายถึงการจัดหาสวัสดิการเพื่อดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน
เช่นมาตรการช่วยเหลือเมื่อตกงาน
การจัดหาระบบประกันสุขภาพแบบครบวงจร
เพื่อที่ว่าชาวจีนจะได้กล้าใช้จ่ายเงิน
โดยไม่ต้องพะวงกับการเก็บออมเพื่อเลี้ยงดูชีวิตมากเกินไป
ในห้วงเวลาปัจจุบันที่เศรษฐกิจจีนขยายตัวสูงที่สุดในโลก
มีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงที่สุดในโลก และเกินดุลการค้ามหาศาล
ซึ่งมากเสียจนน่ากลุ้มใจเพราะส่งผลกระทบให้เกิดความตึงเครียดทางการค้ากับประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐและยุโรป
ทำให้นักวิเคราะห์มองว่านโยบายของจีนที่เรียกว่า "ทำให้ต่างชาติเสียคน
(spoil-the-foreigners policy)
พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าช่วยให้จีน "ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม"
ในการพัฒนาเศรษฐกิจ
spoil-the-foreigners policy ก็คือสิ่งที่กล่าวไว้ข้างต้น
คือการให้สิทธิพิเศษสารพัดแก่ต่างชาติเหนือบริษัทท้องถิ่น
การผ่อนคลายกฎระเบียบทุกอย่างเพื่อดึงดูดต่างชาติเข้ามาลงทุน
แต่เมื่อนโยบายนี้ได้ผลแล้ว สำเร็จแล้วก็ถึงเวลาที่จะเลิกโอ๋
บางทีก็ "ไล่" เงินต่างชาติ หรือถึงไม่ไล่ก็สกัดไม่ให้เข้ามาเพิ่ม
การเลิกโอ๋ต่างชาติเริ่มจากช่วงประมาณต้นปีนี้
รัฐบาลจีนยกเลิกการเก็บภาษีนิติบุคคลแบบสองมาตรฐานหรือสองอัตรา
แล้วเปลี่ยนมาเก็บเท่ากัน 25% ทั้งบริษัทจีนและบริษัทต่างชาติ
แม้จะทำให้บริษัทต่างชาติบางส่วนไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม
แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่โวยวายมากเพราะเห็นว่าตัวเองก็ได้รับสิทธิประโยชน์มานานพอสมควร
ล่าสุด เมื่อปลายเดือนสิงหาคม รัฐสภาจีนได้ผ่านกฎหมาย "ต่อต้านการผูกขาด"
ซึ่งถูกนักวิเคราะห์มองว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายครั้งใหญ่
และก็เชื่อว่ากฎหมายนี้ออกมาเพื่อ "อุ้ม" บริษัทจีนโดยเฉพาะ
กฎหมายนี้ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนบริษัทต่างชาติที่กำลังวางแผนจะควบกิจการหรือซื้อกิจการบริษัทจีน
หลังจากรัฐบาลตระหนักว่าการควบรวมกิจการโดยต่างชาติได้สร้างความแข็งแกร่งแก่บริษัทต่างชาติเหนือบริษัทจีนขึ้นทุกขณะ
ขณะเดียวกันการควบรวมกิจการหรือการซื้อหุ้นกิจการโดยต่างชาติ
ไม่ได้ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจมากนัก แต่กลับเพิ่มเงินเข้าไปในระบบ
แต่ขณะนี้จีนมีเงินมากเกินไปจนล้นประเทศแล้ว ดังนั้น
จึงไม่ต้องการเพิ่มอีก
นโยบายในขณะนี้ของจีนก็คือการลดการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติและกระตุ้นให้เงินทุนไหลออก
แทนการดึงดูดเงินทุนเข้ามา
จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน
เงินลงทุนต่างชาติที่เข้ามาในรูปของการควบรวมและซื้อกิจการนั้นมีสัดส่วนค่อนข้างสูง
จากเดิมที่มีมูลค่า 5% ของเงินลงทุนโดยตรง (เอฟดีไอ) ในปี ค.ศ.2003
ก็เพิ่มเป็น 11% ใน ค.ศ.2004 และเพิ่มเป็น 20% ใน ค.ศ.2005
ปัจจุบันจีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก
รองจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเยอรมนี
แต่หลายสำนักพยากรณ์ว่าเมื่อดูจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว
ค่อนข้างแน่ว่าปีนี้จีนจะแซงเยอรมนีขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ
3 ของโลก
หน้า 20