One-Stop Entertainment สูตรทำเงิน ไซเบอร์คาเฟ่ ญี่ปุ่น
หลายคนคงแปลกใจว่า ทำไมธุรกิจ "ไซเบอร์คาเฟ่"
หรือร้านอินเทอร์เน็ตในญี่ปุ่นจึงได้รับความนิยมแพร่หลาย
ทั้งที่บ้านเรือนส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้
ขณะที่ความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลยังมากกว่าในสหรัฐถึง 10 เท่า
แถมยังเป็นประเทศแรกที่ให้บริการระบบ 3G
ตัวเลขของสมาคมอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของญี่ปุ่น (JCCA)
ระบุว่าจำนวนร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่เข้าเป็นสมาชิกของ JCCA มี
4,100 แห่ง ภายในปี 2553 เพิ่มขึ้นราว 50% จากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ในแง่รายได้ของร้านเน็ตเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
โดยน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 50% ไปอยู่ที่ 2.6 พันล้านดอลลาร์ภายในปี
2553
บิสซิเนสวีกเฉลยถึงเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจเน็ตคาเฟ่เบ่งบานมากในญี่ปุ่นว่า
เป็นเพราะร้านเน็ตเหล่านี้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้
โดยกระแสความนิยมเริ่มจากร้านเน็ตคาเฟ่สไตล์ "มังงะ คาเฟ่"
ซึ่งให้บริการยืมหนังสือการ์ตูนและเครื่องดื่มไปด้วย
หลังจากนั้นร้านเน็ตก็หาวิธีดึงลูกค้าเพิ่มขึ้น
นอกเหนือจากลูกค้าที่เข้ามาใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเช็กอีเมล์
หรือเสิร์ชข้อมูล
โดยพยายามเปลี่ยนให้เน็ตคาเฟ่ไปเป็นศูนย์รวมความบันเทิง (one-stop
entertainment) และเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า
ทำไมปัจจุบันจะหาร้านที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียวยากเต็มที
โดย "โมโมโกะ ซิกิอุระ" หนึ่งในผู้ให้บริการบอกว่า
เมื่อก่อนแค่ร้านเล็กๆ กับเครื่องคอมฯก็พอจะเอาอยู่
แต่ตอนนี้ความต้องการ ของลูกค้าเปลี่ยนไปแล้ว
นั่นเป็นเหตุผลที่ร้านเน็ตหลายแห่งต้องปรับเปลี่ยนตัวเองขนานใหญ่
อาทิ ร้าน "แอพริซิโอ" ในโตเกียวที่มีบริการเก้าอี้นวด ห้องอาบน้ำ
อ่างอาบน้ำที่ผสมธาตุเจอร์เมเนียม (germanium)
สำหรับช่วยการไหลเวียนโลหิต ห้องสมุดการ์ตูนและนิตยสารกว่า 30,000
เล่ม รวมถึงบริการให้เช่าดีวีดีสำหรับเปิดกับเครื่องพีซี
หรือเช่าห้องเธียเตอร์รูมที่มีทีวีจอแบนไว้บริการ
ที่ผ่านมาลูกค้าหลักๆ ของร้านเน็ตเหล่านี้เป็นผู้ชาย
โดยมีสัดส่วนราว 73% ของลูกค้าทั้งหมด แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อผู้หญิงและคนสูงอายุเริ่มเข้ามาใช้บริการกันมากขึ้น
เนื่องจากร้านเน็ตบางแห่งพยายามเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยการตกแต่งสไตล์บาหลี
และคิดค้นเมนูอาหารที่ใช้วัตถุดิบที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
ขณะที่การเปิดสาขามากขึ้นทำให้ราคา ค่าบริการสมเหตุสมผลมากขึ้นด้วย
โดยข้อมูล ของ JCCA พบว่าลูกค้าที่ใช้เวลาในร้านเน็ต ราว 2.5
ชั่วโมง จะเสียค่าบริการประมาณ 10 ดอลลาร์
แต่เมื่อแข่งกันหรูมากขึ้น
ก็มีความเป็นไปได้ที่ร้านขนาดเล็กจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
และผู้ที่อยู่รอดก็จะเป็นร้านที่มีทุนหนาพอที่จะลงทุนบริการใหม่ๆ
ได้
หน้า 31