รายงาน
ปิดฉากลงแล้ว สำหรับการประชุมผู้นำ กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก
(APEC) ครั้งที่ 15 ระหว่าง วันที่ 8-9 กันยายน 2550 ที่ซิดนีย์
ประเทศออสเตรเลีย ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของประเทศเจ้าภาพ
โดยการประชุมในครั้งนี้ ผู้นำ APEC ทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจได้
ประกาศปฏิญญาผู้นำ APEC ครั้งที่ 15 (Fifteenth APEC Economic Leader"s
meeting) กับ ปฏิญญาแยกของผู้นำในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ความมั่นคงทางพลังงานและการพัฒนาที่สะอาด (APEC Leader"s Declaration on
Climate Change, Energy Security and Clean Development) รวมไปถึง
แถลงการณ์ผู้นำ APEC เพื่อสนับสนุนการเจรจาองค์การการค้าโลก (Statement on
the WTO Negotiation) ด้วย
ประเด็นสำคัญที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในการประชุม APEC ครั้งนี้
คงหนีไม่พ้น "ปฏิญญาเรื่องโลกร้อน" หรือ Declaration on Climate Change
ซึ่งออสเตรเลีย ในฐานะประเทศเจ้าภาพ เพิ่งนำเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาใน
โค้งสุดท้ายคือ ในเดือนสิงหาคม 2550 ก่อนการประชุม APEC
ในเดือนกันยายนเพียง 1 เดือน
ข้อเสนอของออสเตรเลียข้างต้น ส่งผลให้หลายเขตเศรษฐกิจ APEC
แสดงความไม่เห็นด้วย กับหลายประเด็นในร่างปฏิญญาของเจ้าภาพ ท้ายที่สุด
ช่วงสัปดาห์การประชุม APEC ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม
หลายเขตเศรษฐกิจจึงต้องส่งคณะผู้แทนขึ้นมาประชุมในประเด็นนี้โดยเฉพาะ
โดยประเด็นที่ตกลงกันไม่ได้ในขณะนั้นมี 3 ประเด็นด้วยกัน คือ 1) คำนิยามของ
"energy intensity" ที่ประเทศสมาชิก APEC ยังมีความเข้าใจแตกต่างกัน
ซึ่งออสเตรเลียได้ชี้แจงว่า หมายถึง
สัดส่วนการใช้พลังงานเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชาติ (GDP)
ขณะที่ไทยและหลายเขตเศรษฐกิจมองว่า การเทียบกับ GDP
ไม่ยุติธรรมกับประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งมีระดับ GDP "ต่ำกว่า" ประเทศพัฒนาแล้ว
เพราะประเทศกำลังพัฒนามีความต้องการใช้พลังงานมากกว่าประเทศพัฒนาแล้ว
ทำให้ต้องลดการใช้พลังงานมากกว่า ประเทศกำลังพัฒนา
2) ออสเตรเลีย ต้องการให้มีการระบุว่า ประเทศสมาชิก APEC
จะปลูกป่าเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ และ 3) ออสเตรเลียต้องการให้ระบุว่า ภูมิภาค
APEC จะมีการลดพลังงานลงเท่าไหร่ ซึ่งมีประเทศสมาชิกหลายประเทศ
ไม่ต้องการให้มีการกำหนดตัวเลขเหล่านี้ ด้วยเหตุผลว่า APEC
ไม่ใช่เวทีที่ดำเนินการในเรื่องนี้
ควรจะไปหารือกันในเวทีสหประชาชาติมากกว่า
"จีน" ได้กลายเป็นประเทศผู้นำในการคัดค้านข้อเสนอของออสเตรเลียทั้ง 3
ประเด็นในร่างปฏิญญา Climate Change อย่างเข้มแข็ง โดยมีญี่ปุ่น
ซึ่งแสดงเจตจำนงตั้งแต่ต้นปีว่า
ตระหนักถึงปัญหาเรื่องโลกร้อนและต้องการจะช่วยเยียวยา
ส่วนกลุ่มอาเซียนให้การสนับสนุนจีน ในขณะที่สหรัฐ สนับสนุนออสเตรเลีย
โดยกลุ่มประเทศคัดค้านได้ตั้งคำถามสำคัญถึงสหรัฐ-ออสเตรเลีย ว่า ทั้ง 2
ประเทศไม่ได้เป็นสมาชิกของ พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal)
ส่วนจีนและหลายประเทศในอาเซียนเป็นสมาชิก พิธีสารเกียวโต
ดังนั้นประเทศในกลุ่มนี้จึงมองว่า ควรจะนำเรื่อง Climate Change
ไปหารือในกรอบที่หารือกันเกี่ยวกับภูมิอากาศในโลก คือ
อนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และพิธีสารเกียวโต
(Kyoto Protocal) ซึ่งจะมีการประชุมกันในระหว่างวันที่ 2-14 ธันวาคม 2550
ทั้งนี้เป็นที่ทราบดีกันว่า การที่ทั้งสหรัฐ-ออสเตรเลียไม่ยอมให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโตเป็นเพราะ
ไม่พอใจที่ตนเองในฐานะประเทศพัฒนาแล้ว จะต้อง "ถูกบังคับ"
ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงตามบัญชีที่ 1
ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอยู่ใน บัญชีที่ 2 ลดด้วยความสมัครใจ ทำให้ทั้ง 2
ประเทศ ซึ่งเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ของโลก
ไม่ยอมเข้าร่วมพิธีสารฉบับนี้มาตั้งแต่ต้น
ในที่สุด คณะกรรมการที่หารือเรื่อง climate change โดยเฉพาะ
ต้องใช้เวลาในการหารือจนถึงคืนวันที่ 7 กันยายน ก่อนที่การประชุมผู้นำ APEC
จะเริ่มขึ้นไม่กี่ชั่วโมง ท้ายที่สุด ออสเตรเลีย
ในฐานะเจ้าภาพสามารถล็อบบี้ให้จีนยอมที่จะใส่เป้าหมายตัวเลขในการลดพลังงาน
เมื่อจีนยอมรับ ทำให้สมาชิก APEC ที่เหลือยอมรับตามไปด้วย
ส่งผลให้ออสเตรเลีย ในฐานะประเทศเจ้าภาพ
ประสบความสำเร็จที่ต้องการให้ปฏิญญา climate change ประกาศเจตจำนงของ APEC
ในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยลดการใช้พลังงานลง 25%
ภายในปี 2573 และเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าอีก 20 ล้านเฮกเตอร์ภายในปี 2563
โดยจีนขอให้ระบุในปฏิญญาว่า "เป้าหมายเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่ต้องการไปให้ถึงเท่านั้น
ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย"
นอกจากนี้ ในการประชุมผู้นำ APEC
ยังมีความพยายามที่จะผลักดันให้การเจรจาการค้าโลกรอบโดฮาเดินหน้าไป
ซึ่งในช่วงการประชุมระดับรัฐมนตรี APEC มีความพยายามจากจีนในการ
ขอแก้ถ้อยคำในแถลงการณ์ APEC ในการสนับสนุนการเจรจาการค้าโลกให้อ่อนลง
เนื่องจากจีนไม่ต้องการให้มีการเจรจาลดสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มเติมใน WTO อีก
แต่ในท้ายที่สุด ในการประชุมนอกรอบในช่วงเช้าก่อนการประชุมระดับผู้นำ APEC
ในวันที่ 8 กันยายน ตัวแทนประชุมสมาชิก APEC ทั้ง 20 เขตเศรษฐกิจได้ "ตกลง"
ตามร่างแถลงการณ์ ทำให้จีนจำต้อง "ยอมรับ" ในเวลาต่อมา
ส่งผลให้ในระหว่างการประชุมผู้นำ APEC เห็นพ้องกันให้ คณะเจรจาของประเทศ
ตนใช้กรอบการเจรจา (modalities)
สินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมฉบับที่จัดทำขึ้นล่าสุดใช้เป็นพื้นฐานการหารือที่กำลังดำเนินอยู่ที่เจนีวา
ขณะนี้
ในขณะที่ประเด็นการรับสมาชิกใหม่ของ APEC นั้น
ในการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส APEC กับระดับรัฐมนตรี APEC ได้ปรากฏ
ความเห็นที่แตกต่างกันออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ออสเตรเลีย
ต้องการให้เปิดรับสมาชิกใหม่ แต่จีนคัดค้าน ซึ่งในที่สุดผู้นำ APEC
ได้ตกลงที่จะเลือกวิธี "เลื่อน" การตัดสินใจในการเปิดรับสมาชิก APEC
ใหม่ออกไปอีก 3 ปี
"ออสเตรเลีย" ในฐานะเจ้าภาพการประชุมผู้นำ APEC ครั้งที่ 15
ได้ทำให้โลกจดจำการประชุม APEC
ครั้งนี้ในแง่มุมของการผลักดันในเรื่องโลกร้อน ผ่านปฏิญญาซิดนีย์ climate
change หลังจากนี้คงต้องติดตามต่อไปว่า เปรู ในฐานะเจ้าภาพการประชุมผู้นำ
APEC ครั้งที่ 16 จะเสนอ Theme ในการประชุมปีหน้าอย่างไร
หน้า 7
|