"ราเชนทร์"เผย 1 พ.ย.เจเทปามีผลบังคับใช้
มั่นใจส่งออกตลาดญี่ปุ่นฉลุย พร้อมจัด 3
สินค้าลดภาษีทันทีจับมือยักษ์ญี่ปุ่น
คาดเพิ่มสัดส่วนส่งออกได้มากขึ้น
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายราเชนทร์
พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก เปิดเผยว่า
ในวันที่ 1 พ.ย. นี้ข้อตกลงความร่วมมือ
หุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น(เจเทปา)
จะมีผลบังคับใช้ทำให้สินค้าสำคัญ 4 รายการ
ได้รับการลดภาษีทันที คือ อาหาร
อัญมณี
พลาสติก และสิ่งทอ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่กรมฯจะเน้นส่งเสริม
ให้เกิดการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงให้ได้มากที่สุด
โดยในการเดินทางเพื่อโรดโชว์ที่ประเทศญี่ปุ่น
ระหว่างวันที่ 21-30 ก.ย.นี้ จะมีผู้ส่งออกภาคเอกชนไทย
ใน 3 กลุ่มสินค้า
คือ อัญมณี
สิ่งทอและอาหารรวม 10 ราย
ร่วมคณะเพื่อไปพบปะผู้ประกอบการญี่ปุ่นและมั่นใจว่า
จะบรรลุการเจรจาและ
สามารถร่วมทุนหรือสั่งซื้อสินค้าได้แน่นอน
ตอนนี้ได้รับการยืนยันเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จากฝ่ายไทยและญี่ปุ่นแล้วว่า
เจทปาจะมีผลบังคับใช้ได้ภายใน 1 พ.ย.นี้ แน่นอน
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของญี่ปุ่น
ไม่ส่งผลกระทบต่อข้อตกลงแต่อย่างใด
เพราะเจเทปาเป็นข้อตกลง
ระหว่างประเทศ
ทำให้ตอนนี้นักธุรกิจไทยและญี่ปุ่นจะตื่นตัวเจรจาธุรกิจกันเพื่อให้ได้ข้อสรุป
และสามารถส่งสินค้าได้
ทัน 1 พ.ย.นี้
นายราเชนทร์ กล่าว
นายราเชนทร์
กล่าวอีกว่า
การมีข้อตกลงเจเทปาจะทำให้การค้าตลาดญี่ปุ่นมีความสะดวกมากขึ้น
ซึ่งจะส่งผลให้การส่งออกตลาดนี้ขยายตัว
สามารถลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐซึ่งมีความเสี่ยงปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ
สำหรับตลาดญี่ปุ่น ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนส่งออก 12.4%
ของการส่งออกทั้งหมด มูลค่าการส่งออก 7 เดือนแรกปีนี้
10,335
ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 12.9%
ซึ่งไทยจะต้องเร่งใช้โอกาสที่เจเทปามีผลบังคับใช้ทำให้ตลาดญี่ปุ่นรู้จักสินค้าและบริการของไทยให้มากขึ้น
ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยรู้จักใช้ประโยชน์จากข้อตกลงมากขึ้นด้วยเช่นกัน
นายนพดล
สระวาสี รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กรมฯได้ร่วมกับสถาบันวิจัย
นโยบายเศรษฐกิจการคลัง
ลงพื้นที่ไปพบปะกับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งในอ.ปากพนัง
จ.นครศรีธรรมราชซึ่งถือเป็นแหล่งเลี้ยงกุ้งที่สำคัญของประเทศ
เพื่อให้ความรู้กับเกษตรกรได้รับรู้ถึงทิศทางการค้ากุ้งระหว่างประเทศ
ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี
(เอฟทีเอ)ที่ไทยได้ทำกับประเทศต่างๆ ขณะเดียวกัน
ได้รับฟังปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะเพื่อที่รัฐจะได้นำไปพิจารณาและกำหนดท่าทีในการเจรจาด้วย
ทั้งนี้
ได้แจ้งกับเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งไปว่า
ขณะนี้ไทยได้ทำเอฟทีเอกับประเทศต่างๆไปแล้ว ได้แก่
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน และญี่ปุ่น
ซึ่งผลจากการทำเอฟทีเอ
จะทำให้ไทยมีตลาดส่งออกกุ้งเพิ่มมากขึ้น
เพราะการพึ่งพาสิทธิพิเศษทางการค้า เช่น
สิทธิพิเศษทางกาษีศุลกากร (จีเอสพี)
เพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน
แต่เอฟทีเอถือเป็นช่องทางในการเพิ่มการส่งออกสินค้ากุ้งไทย
ซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
จากการที่ภาษีนำเข้ากุ้งที่ประเทศคู่ค้าลดให้กับไทย
นายนพดล
กล่าวว่า
ยังได้แนะนำเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งอีกว่าในการผลิต
ควรจะให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพและมาตรฐาน
เพราะแนวโน้มประเทศต่างๆ
จะมีการใช้มาตรการกีดกันเพิ่มมากขึ้น
โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค
ทำให้ในการผลิตกุ้งต้องระวังในเรื่องยาปฏิชีวนะตกค้าง
สารไนโตรฟูแรนและคลอแรมฟินีคอลตกค้าง
โรคตัวแดงและดวงขาว การรักษาสิ่งแวดล้อม
ในส่วนการขายให้กับผู้บริโภคชาวมุสลิมจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องของกฎระเบียบมาตรฐานสินค้าฮาลาลอย่างเคร่งครัด
เป็นต้น |