ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่
11 ต.ค.ว่า
มีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่อย่างหนาแน่น
ดันดัชนีหุ้นทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง โดยระหว่างวันขึ้นไปสูงสุดที่
891.27 จุด ก่อนมาปิดทำการที่ 889.06 จุด เพิ่มขึ้น 13.96 จุด
ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 11 ปี นับจากวิกฤติเศรษฐกิจ
ขณะที่มีมูลค่าการซื้อขาย 33,920.76 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ
2,838.82 ล้านบาท ทั้งนี้ในรอบสัปดาห์นี้
ต่างชาติได้เข้ามาซื้อสุทธิติดต่อกัน 4 วันทำการรวมทั้งสิ้น 7,530.38
ล้านบาท ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้น 36.73 จุด
นายวรภัค
ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธนาคารเจพีมอร์แกน
และบริษัทหลักทรัพย์ เจพี มอร์แกน กล่าวว่า
เงินทุนไหลเข้าจากต่างชาติได้เริ่มไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและไทยได้ประมาณ
2 สัปดาห์แล้ว หลังจากไหลกลับออกไป
เพราะเกิดปัญหาวิกฤติซับไพร์มในสหรัฐฯในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา
โดยตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น
ซึ่งคาดว่าจะได้รัฐบาลใหม่ที่เป็นรัฐบาลผสม
ซึ่งจะต้องมีการผลักดันโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่างๆ
รวมทั้งโครงการลงทุนของภาคเอกชนที่ชะลอนับตั้งแต่เกิดปฏิวัติ
ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนหลายแสนล้าน
ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปีหน้าให้เติบโตได้ดี
รวมทั้งยังคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าจะโตได้ถึง 22%
เจพีมอร์แกนยังมองว่า
เงินทุนหรือ Fund flow
จากต่างชาติจะยังไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
โดยในช่วงคริสต์มาส หากไม่มีสถานการณ์อะไรภายในประเทศที่เป็นในแง่ลบ
เชื่อว่าเงินทุนจะไหลเข้ามาจนถึงกลางปีหน้า
ส่วนงานสัมมนา
เรื่อง จัดพอร์ตโกยกำไร...รับเลือกตั้ง จัดโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ
เมื่อวันที่ 11 ต.ค.นั้น นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ
บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า
คาดว่าดัชนีหุ้นไทยช่วงนี้ยังปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง
หลังมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศยังไหลเข้ามาลงทุน
โดยก่อนที่จะรู้ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 31 ต.ค.
นี้ ดัชนีหุ้นไทยน่าจะขึ้นได้ต่อโดยมีโอกาสขึ้นไปได้ถึง 900-940 จุด.