แนวโน้มในอนาคต |
|
ด้านการผลิต |
-
การควบรวมกิจการของผู้ผลิตเหล็กในตลาดโลก
เนื่องมาจากซึ่งทำให้มีผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่เพียง 3 ราย
ครองส่วนแบ่งกว่าร้อยละ 70 ในตลาดโลก
ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยฐานการผลิตที่ใหญ่ขึ้น นอกจากนี้
ยังเป็นการควบคุมปริมาณการผลิตเหล็กออกสู่ตลาดโลกให้อยู่ในระดับเหมาะสมยิ่งขึ้น
-
แม้ว่าตลาดภายในประเทศของไทย ยังอยู่ในภาวะซบเซา
แต่ผู้ผลิตมีแนวโน้มเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นในปี 2550
รวมทั้งเพิ่มสายการผลิตใหม่เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดส่งออก
|
ด้านราคา |
-
ความต้องการเหล็กในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และการควบรวมกิจการระหว่างผู้ผลิตเหล็ก
จะผลักดันให้ราคาเหล็กในตลาดโลกสูงขึ้น
|
ด้านการส่งออก |
-
การส่งออกเหล็ก
เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ในปี 2550 มีแนวโน้มขยายตัว
เนื่องจากความต้องการเหล็กในตลาดโลกคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ประมาณร้อยละ 5 โดยจีนและอินเดียยังคงเป็นประเทศผู้นำเข้าสำคัญ
กอปรกับภาคก่อสร้างและการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในประเทศต่าง ๆ
ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในแถบตะวันออกกลาง นอกจากนี้
รัฐบาลจีนลดการอุดหนุนการส่งออกเหล็ก
โดยการปรับลดอัตราการคืนภาษีส่งออกเหล็กชนิดต่าง ๆ จากร้อยละ 11
เหลือร้อยละ 8 เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2549
ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออกเหล็กของประเทศอื่นๆ เช่น ไทย
เพราะสามารถแข่งขันกับจีนได้ดีขึ้น
-
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่ากระแสการควบรวมกิจการของผู้ผลิตเหล็ก จะทำให้ราคาเหล็กดีขึ้น
มีการเพิ่มสายการผลิตใหม่ ทำให้การส่งออกดีขึ้น แต่อุปสรรคสำคัญ คือ
ราคาแร่เหล็กมีแนวโน้มที่สูงขึ้น
ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของผู้ส่งออกได้
ที่มา : ฝ่ายวิชาการ
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
<
www.exim.go.th
>
|